| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |


ตอนที่ ๕๖ หัสไชยตีด่านเมืองลังกา

            กล่าวถึงเสวคนธ์กับสุดสาคร คอยฟังข่าวของสองท้าวไทอยู่ พอเรือใช้กลับมาทูลเรื่องฝรั่งลังกายกทัพมาเผาบ้านเมือง เอาเพชรแก้วเก็จไป พร้อมไพร่พลหญิงชายกลับไปสิงหล พระภูวนาถราษฎรได้รับความเดือดร้อนทุกตำบล องค์เสาวคนธ์ได้ทราบก็คั่งแค้นฝรั่งยิ่งนัก สุดสาครก็บอกอย่ารอช้าให้เกณฑ์ไพร่พลวาหุโลม เข้ามาสมทบยกไปรบเมืองลังกา แล้วจัดแจงแต่งหนังสือ ให้ทูตถือไปยังวาโหมเจ้าเมืองวาหุโลม

  เจ้าวาโหมโสมนัสจบหัตถ์รับ เป็นคำนับนับถือพระฤาษี
แล้วให้อ่านสารว่าพระอัคคี พบพระพี่มาแถลงให้แจ้งการ
ฯลฯ
            ว่าฝรั่งลังกาบังอาจมารบถึงเมืองการะเวก พระบิดาพระมารดาทั้งวงศ์วาน เดือดร้อนรำคาญไปหมด
จะสึกออกบอกโยมวาโหมด้วย ยกไปช่วยปราบปรามตามวิสัย
ทั้งสองเมืองเบื้องหน้าได้มาไป เป็นมิตรไมตรีกันไม่ฉันทา ฯ
  ฝ่ายวาโหมโสมนัสตรัสประภาษ สั่งอำมาตย์มูลนายทั้งซ้ายขวา
พระอัคคีนี่เราคิดเหมือนบิดา จะอาสาซื่อตรงต่อทรงธรรม์
ฯลฯ
            แล้วให้จัดพหลพลโยธาได้ห้าหมื่น กับเรือใช้ใหญ่น้อยได้ร้อยเศษไปปราบประเทศลังกา แล้วยกทัพตัดทางไปยังด่านชานสมุทร องค์เสาวคนธ์ต้องแข็งใจ แต่งองค์เป็นอย่างพราหมณ์ ออกไปยังพลับพลาไชยพร้อมพี่ยาสุดสาคร บอกว่าตนต้องลาพรตด้วยจะต้องไปรบฝรั่งเมืองลังกา แล้วแนะนำสุดสาครแก่วาโหม
พระองค์พี่เราจงเคารพ เลิศลบลือฤทธิ์ทุกทิศา
เป็นแม่ทัพรับสั่งฟังบัญชา พึ่งพระเดชเชษฐาข้างหน้าไป ฯ
  เจ้าวาโหมโสมนัสไม่ขัดข้อง ประสานสองหัตถ์ประนมบังคมไหว้
หน่อกษัตริย์ตรัสช่วยอำนวยชัย แล้วปราศัยสนทนาประสาชาย
ฯลฯ
            แล้ววาโหม ก็รีบออกมาจัดกำลังพลนิกายทั้งซ้ายขวา ให้ลงเรือรบลำละห้าร้อย ให้เจ้าโอรสคุมทหารด่านปากน้ำ สิบห้าลำ ลำละร้อยเป็นกองหน้านำไป
            ฝ่ายพระหน่อสุดสาครกับองค์เสาวคนธ์บอกเรื่องเมืองผลึกว่า ข้าศึกตีเมืองได้แล้วพาองค์พระมเหสีกับพระบุตรีไป ขังไว้เมืองลังกา ก็แค้นใจนัก
จึงทูลองค์ทรงฤทธิ์ปิตุราช ลูกเป็นชาติเชื้อชายคิดอายเขา
จะนิ่งให้อ้ายศัตรูมันดูเบา เหมือนหนึ่งเรารับแพ้ไม่แก้แค้น
            แล้วทูลขอพาทหารไปรบ ถ้าหากเพลี้ยงพล้ำแก่ชาวลังกา ก็ขอให้ตัดศีรษะตน พระจอมวังการะเกดได้ฟัง พระลูกรักก็ตรัสว่า พระองค์ไม่ห้ามแต่เตือนว่า อย่าเบาความให้คอยรับทัพเมืองผลึกกับเมืองรมจักร ให้พร้อมกันทั้งสามกองทัพ อย่าประมาทในสงคราม
จงหยุดทัพยับยั้งบอกหนังสือ ให้ทูตถือมาแจ้งแถลงไข
ไว้ธุระบิดาไม่นอนใจ จะยกไปไล่ล้างให้วางวาย
ฯลฯ
            องค์หัสไชยได้ฟังแล้ว บังคมลามารีบจัดพหลพลโยธา เป็นเรือห้าร้อยลำคนประจำลำละร้อย ยกออกจากปากน้ำเมืองการะเกดไป
  เข้าแว่นแคว้นแดนลังกาเป็นฝรั่ง ตระเวณระวังจังหวัดสะกัดกั้น
ไม่รอรั้งสั่งให้รุกรบบุกบัน ยิงกำปั่นปืนปึงตูมตังตัง
ฯลฯ
            เรือลังกาต่อต้านแต่มีกำลังน้อยกว่าต้องถอยไป กองทัพเมืองการะเกดก็ไล่ยิงจับได้เรือข้าศึก ได้สองร้อยยี่สิบลำ ก็พอตกพลบค่ำ
  พระหน่อนาถฆาตกลองหยุดกองทัพ ต่างตีรับเรียกกันเข้าบรรจบ
ทอดสมอรอรั้งตั้งสมทบ ตามขนบนาคราชไม่คลาดคลา
ฯลฯ
            ฝ่ายฝรั่งลังกาต่างหลีกหลบถอยทัพกันสับสน พวกพลบนบกต่างก็ตื่นตกใจ
ประจุปืนยืนรายทุกค่ายตั้ง ออกคับคั่งคอยรบจุดคบไสว
ทุกหมู่หมวดตรวจพลสกลไกร ทั้งนายไพร่พรั่งพร้อมป้อมเสมา
ฯลฯ
            ฝ่ายพระมังคลา วลายุดากับทั้งวายุพัฒน์ หัสกัน ต่างรู้ว่าข้าศึกมาฮึกหาญตีเรือด่านแตก จึงให้คอยปล่อยปืนกะปิตัน ยิงกำปั่นเชิ้อไฟให้จมไป แล้เกณฑ์กำปั่นกันฝรั่ง ออกตั้งรับไม่ให้ข้าศึก กองทัพข้าศึกรุกเข้ามาในเวลากลางคืน
            ฝ่ายองค์หัสไชยปรึกษาอำมาตย์เอกชื่อ ราชสีห์ ว่าจะรั้งรอไปถึงวันพรุ่งนี้ จึงจะยกเข้าตีเมือง จะมีความเห็นอย่างไร อำมาตย์ทูลว่า เราหักด่านมีชัยในวันนี้ ไพร่พลของเราก็อ่อนกำลัง ถ้าเรายกขึ้นบก ถ้าข้าศึกโอบอ้อมเข้าล้อมหลังจะเสียเรือเหลือกำลัง จึงควร
จงรออยู่ดูไพรีก่อน จะแข็งอ่อนผ่อนปรนเล่ห์กลไฉน
เห็นชนะได้รุกบุกเข้าไป ตีเมืองใหม่ไล่ล้างให้วางวาย ฯ
            พระหัสไชยได้ฟังก็เห็นชอบด้วย แล้วสั่งให้ไพร่พลผลัดกันอยู่งานตามหน้าที่
            ฝ่ายพระมังคลาเห็นกองทัพเมืองการะเวก เรียงรันกันราวกับนาค จึงปรึกษากันว่าศึกครั้งนี้มีความจัดเจน
จะฆ่าฟันกันตายเสียดายเหลือ มันเหมือนเกลือแกลบจะรุมแลกพุมเสน
จะคิดให้ไพร่นายตายระเนน แล้วสั่งเกณฑ์กลศึกเหมือนตรึกตรา
ฯลฯ
            ให้วายุพัฒน์ลัดล่องเรือสองร้อยไปคอยชิดทางอยู่ข้างขวา ให้หัสกันนำเรือสองร้อยห้าสิบ ไปปิดทางข้างซ้าย เรือกลางข้างละร้อย คอยสมทบรบล่อให้ไล่
เห็นจวนใกล้ได้ทีเรือสี่ร้อย สองข้างคอยโอบอ้อมออกล้อมหลัง
ยิงปืนใหญ่ไฟจุดอย่าหยุดยั้ง เผาเสียทั้งกองทัพให้ยับเยิน ฯ
            ทั้งหมดออกไปจัดแจงแต่งทัพตามรับสั่ง พระมังคลากับวลายุดาคอยรักษาฟากฝั่ง
แม้ไพรีหนีตายขึ้นชายหาด ยิงปืนสาดซ้ำฆ่าให้อาสัญ
ฝ่ายกองกลางฟางหญ้าผ้าน้ำมัน ตระเตรียมกันครบทั่วทุกตัวคน ฯ
            พอได้ฤกษ์ดีเรือสองร้อยก็ออกแล่นไป กองเรือของพระหัสไชยแล้วร้องถามตามอุบายทั้งสองฝ่าย ร้องตอบโต้กัน แล้วกล่าวหมิ่นประมาทพวกการะเวกว่า เคยตกเป็นชะเลยของลังกามาแล้ว พระหัสไชยได้ฟังก็คั่งแค้น จึงปรึกษากันว่าเรือข้าศึกมาเพียงสองร้อย น้อยกว่าฝ่ายการะเวก
เข้ารุกโรมโหมหักเสียพักนี้ ระดมตีเมืองใหม่เอาไฟเผา
แม้ละไว้อ้ายศัตรูจะดูเบา เห็นลมเข้าเราจะได้ด้วยง่ายดาย ฯ
            ฝ่ายเสนาเห็นว่าเรือข้าศึกมีน้อย จะคอยล่อให้ฝ่ายเราไล่ แล้วจะซุ่มพลรุมรบเอาเป็นกลอุบาย ขอให้แบ่งกำลังออกสู้ดูกำลัง ขอให้พระหัสไชยกำกับทัพเรือใหญ่ เผื่อพวกข้าศึกจะยกมาวกหลัง จึงแยกกันรับทัพละร้อย ถ้าฝรั่งไม่ใช้อุบายก็ให้ดูกองหน้า ถ้ายกขึ้นบกได้ก็จะจุดไฟเป็นสำคัญ แล้วให้พระหัสไชยระดมกำลังเข้าสมทบรุมรบข้าศึกให้ได้ชัยชนะ
  พระเห็นชอบตอบว่าปัญญาลึก คาดข้าศึกสุดดีจะมีไหน
ท่านคุมทัพสัประยุทธ์ขึ้นจุดไฟ ข้างหลังไว้เป็นธุระจะระวัง  ฯ
            เมื่อเข้ารบกันพวกฝรั่งลังกาแกล้งล่าล่อ หลีกเลี่ยงหลบถอยหลังรับ พอพระหัสไชยยกกองหลวงสามร้อยลำ เข้าหนุนหลัง ฝรั่งลังกากลับแล่นหลีกชักปีกกา วายุพัฒน์ หัสกัน นำกำปั่นรบเลี้ยวตลบล้อมรายรอบซ้ายขวา ระดมปืนยิงเป็นสัญญาเข้ารุกรบ ทิ้งคบเพลิงใส่เรือจนกองทัพการะเวกต้องรีบเข้าฝั่ง ยกพลขึ้นบก พวกพลบนฝรั่งชาวลังกาก็เข้าสะกัดไว้
            พระหัสไชยขึ้นตลิ่งพร้อมไพร่พลหลายพัน จนพลบค่ำจึงรวมตัวกันได้ พอตกดึกจึงมาปรึกษากันเห็นว่า กำลังยังน้อยอยู่จึงหยุดยั้งคิดผ่อนผัน ฝ่ายฝรั่งลังกาคอยป้องกันกองทัพจะจับเป็น แต่เห็นว่ามืดค่ำมองไม่เห็น จะคอยวันรุ่งขึ้น
แล้วสูบฝิ่นกินเหล้าทั้งบ่าวไพร่ ประมาทใจไม่ระวังนอนนั่งเฉย
สูบกัญชามาระกู่อยู่เหมือนเคย ต่างคนเลยหลับนอนผ่อนสำราญ ฯ
  ฝ่ายกษัตริย์หัสไชยยังใจชื้น จนกลางคืนคอยคุมชุมนุมทหาร
ให้นับได้ไพร่นายเหลือวายปราณ มากประมาณสามหมื่นยิ่งชื่นใจ
ฯลฯ
            สังเกตดูผู้คนที่บนฝั่งเห็นเงียบหลับไหลอยู่ จึงปรึกษาเสนาในว่าเราไม่มีเสบียง จะเลี้ยงไพร่พล จะรบพุ่งกันตอนเช้าฝ่ายข้าศึกมีมาก ฝ่ายเราจะอดอยาก จึงจะเข้าตีข้าศึกเสียแต่ตอนดึก ขณะที่ข้าศึกหลับอยู่ พวกเสนาก็เห็นด้วย แล้วสั่งให้ไพร่พล เอาผ้าเปียกน้ำโพกหัวทุกตัวคน จัดกำลังเป็นกองละพันเข้าโจมตีข้าศึก
เที่ยวห้ำหั่นฟันฟาดเสียงฉาดฉับ บ้างคอพับหัวกระเด็นกลายเป็นผี
บ้างทิ่มแทงแกว่งขวานผลาญไพรี ลอบฆ่าตีตายดื่นนับหมื่นพัน
ฯลฯ
  ฝ่ายองค์พระมังคลาตรวจหน้าที่ เห็นไพรีเรี่ยวแรงเข้มแข็งขัน
ให้นัดดากับวลายุดานั้น ออกช่วยกันไล่ไพร่รบไพรี ฯ
            กล่าวถึงทัพสุดสาครมาถึงทวีปลังกาเห็นเพลิงไหม้เรือถูกไฟไหม้ล่มอยู่ทั่วไป พบไพร่พลการะเวกว่ายน้ำอยู่ จึงรับขึ้นเรือถามความรู้ว่า เป็นทัพหัสไชยจึงรีบเข้าฝั่งเมืองลังกา สุดสาครทรงหลังม้ามังกรขึ้นไปก่อน เห็นพระอนุชาหัสไชยกำลังรบอยู่กับฝรั่ง ก็เข้าช่วยรบ พวกโยธาการะเวก เห็นหน่อนาถสุดสาครมาช่วย ก็มีกำลังใจเข้ารุกรบข้าศึก
  ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์วิมลโฉม ชวนวาโหมขึ้นบกยกทหาร
ขับโยธาวาหุโลมโถมทะยาน เข้ารุกรานรบฝรั่งเมืองลังกา
ฯลฯ
            ฝ่ายฝรั่งเมืองลังกาสู้ไม่ได้ จึงถอยเข้าไปตั้งมั่นในกำแพงเมืองใหม่
ขึ้นรักษาหน้าที่ทั้งสี่ด้าน ป้อมปราการเกณฑ์กันล้วนขันแข็ง
ทั้งซ้ายขวาสารวัตตรวจจัดแจง ตามตำแหน่งนายทัพกำกับพล ฯ
            ฝ่ายพระหัสไชยตั้งค่ายริมชายฝั่ง เสาวคนธ์และสุดสาครก็ยกกำลังขึ้นตั้งบนฝั่งน้ำ หัสไชยไปพบพระพี่นางแล้ว เล่าความบ้านเมืองแต่เรื่องหลังให้ทราบ องค์เสาวคนธ์ก็เล่าเรื่องของนางให้ฟัง ตั้งแต่ต้นจนปลาย
แล้วเสาวคนธ์บ่นว่าแม้ข้าศึก พอจะตรึกตรองกำจัดไม่ขัดขวาง
นี่เหล่ากอหน่อเนื้อเป็นเชื้อยาง จะรบล้างลูกหลานรำคาญใจ
            แล้วบอกหัสไชยให้รอไว้คอยท่าสองธานี
เป็นธุระพระบิดาพาราผลึก จะปราบศึกบำรุงสามกรุงศรี
จะทำเองเกรงขาดราชไมตรี พ่อควรที่ผ่อนผันตามบัญชา
ฯลฯ
            สุดสาครช่วยผ่อนผันพูดจากับหัสไชย ให้ทำตามคำขององค์เสาวคนธ์แล้วว่า พรุ่งนี้จะไปพบมังคลาเพื่อพูดจากันให้คืนน้อง สององค์วงศ์กษัตริย์ ถ้าแม้นขัดขืนจึงค่อยฆ่าเสีย เมื่อพระบิดากับพระอา มาถึงก็คงจะมาช่วยรบ
พ่อบอกเหตุเชษฐาให้ข้าเฝ้า ไปเมืองเราทูลประณตบทศรี
ให้ทราบถึงพระชนกชนนี พอคลายที่กริ้วโกรธได้โปรดปราน
ฯลฯ
            แล้วบอกความตามที่ได้มารบศึก ให้เมืองผลึกส่งเสบียงมาเลี้ยงทหาร พระหัสไชยก็คำนับรับคำสั่ง แล้วแต่งหนังสือให้ทูตถือไปตามความประสงค์ พอพลบค่ำต่างก็ไปประจำอยู่ที่ค่ายของตน


ตอนที่ ๕๗ สุดสาครปราบมังคลา

            ฝ่ายพระมังคลาเห็นศึกสมทบหลายทัพเป็นที่คับขัน จึงปรึกษาขุนนาง แล้วถามคนเก่าว่าเคยรู้เห็นมาแต่ปางก่อนหรือไม่ ขุนนางผู้เฒ่าจึงทูลว่า ผู้ที่ขี่หลังม้ามังกรคือ สุดสาคร ส่วนผู้ที่ขี่สิงห์คือ เสาวคนธ์ แต่พวกที่เหมือนนกนั้น ไม่เคยมีมาก่อน แล้วเล่าการศึกครั้งก่อนที่มารบที่เมืองใหม่ ให้ทราบ
            พระมังคลาว่าทหารลังกาประมาท จึงพลั้งพลาดเพราะหลับไหล และว่า

อันแยบยลกลหนูสู้พยัคฆ์ เรารู้จักจึงไม่ได้ดังใจหมาย
ที่แปลกอย่างต่างหากมีมากมาย จะยักย้ายแก้ไขผลาญไพรี
ฯลฯ
จะให้พวกชาวละหม่านทหารเสือ ลอบเผาเรือขึ้นที่ท่าชลาไหล
ให้พวกพ้องกองทัพลงดับไฟ เราล้อมไล่ให้มันลงข้างคงคา
ฯลฯ
            แล้วชิงเอาค่ายชายฝั่งไว้ ให้เกณฑ์ไพร่พลออกไปสักแสน พวกฝรั่งจึงไปจัดโยธาห้าหมื่น ถือปืนรบอีกห้าหมื่น ถือทวนยาวหลาวแหลน เมื่อเห็นเพลิงไหม้ให้ออกสมทบ เข้ารุมรบพร้อมกันตามสัญญา
  ฝ่ายพวกพ้องกองละหม่านทหารยักษ์ เกลี้ยกล่อมมาสามิภักดิ์รักอาสา
ออกหลังป้อมอ้อมลงข้างคงคา ต่างประดาน้ำทบดำดั้นไป
ฯลฯ
            ขึ้นเรือรบครบร้อยเห็นพวกกองเรือนอนหลับอยู่ ก็จุดชุดไฟเผาไหม้เชื้อชันน้ำมันยาง แล้วฆ่าคนบนเรือ ฝ่ายคนบนค่ายเห็นเพลิงไหม้เรือ ก็ลงไปช่วยดับ
  ฝ่ายฝรั่งลังกาเห็นข้าศึก อึกทึกทุกทัพสิ่งสับสน
เปิดทวารด้านใต้ต้อนไพร่พล ออกเกลื่อนกล่นกลางคืนยิงปืนไฟ
ฯลฯ
  ฝ่ายฝรั่งทั้งหลายชิงค่ายได้ ทั้งนายไพร่พร้อมพรักเข้ารักษา
ฝ่ายนงเยาว์เสาวคนธ์ถอยพลมา พบเชษฐากับทั้งพระหัสไชย
ฯลฯ
            ฝ่ายโยธาวาหุโลมนั้น ถึงเสียทีก็มิได้พรั่น ต่างตีฆ้องกลองสำหรับเรียกทัพประชุมไพร่พล ริมฝั่งน้ำมีกำลังพลเหลือตายอยู่หลายหมื่น ยกขึ้นไปตั้งอยู่หลังถนน ฝ่ายองค์เสาวคนธ์จึงว่า จะละไว้ให้ช้าไม่ได้ ทหารจะหิวโหยโรยกำลัง จะยกทัพกลับไปตีเมืองใหม่พรุ่งนี้เช้า แล้วออกอุบายให้ไพร่พลแต่งตัวเป็นฝรั่งได้พันคน
ต่างแอบอ้อมปลอบเข้าไปแต่ในศึก กำลังศึกสับสนพลขันธ์
เข้าเมืองมั่งบ้างอยู่ค่ายเรียงรายกัน ใครไม่ทันเพ่งพิศไม่คิดแคลง ฯ
  ส่วนนงเยาว์เสาวคนธ์แบ่งพลทัพ นายกำกับกองละพันล้วนขันแข็ง
ห้าสิบสองกองสกัดคัดจัดแจง ตามตำแหน่งหนุนกันให้ทันที
            ให้พระเชษฐาพาทหารไปชานเขา คอยจับพระมังคลาที่ล่าหนี กองหน้าให้วาหุโลมเข้าโจมตี ที่เหลือเข้าไปในเมือง สกัดฆ่าฝรั่งให้สิ้น พอจวนแจ้งแสงทองต่างก็ยกกำลังเนื่องหนุนตามกันไป พอถึงค่ายรายฝั่งก็ตั้งโห่กึกก้อง แล้วเข้าหักโหมรุกโรมรัน จนรุ่งเช้าพวกฝรั่งลังกาต่างถอยทัพกลับเข้าไปในกำแพง พวกปลอมแปลงพลก็พลอยปนเข้าไปด้วย แล้วไล่ฆ่าเหล่าเฝ้าประตู จากนั้นก็เปิดประตูรับทัพทั้งปวงของฝ่ายตนเข้าไป
พระมังคลาข้าเฝ้าเหล่าทหาร เหลือต้านทานทัพล้อมเข้าพร้อมพรั่ง
ขึ้นทรงม้าพาสนมกรมวัง ออกทางหลังเมืองใหม่พลัดไพร่พล ฯ
            พระหัสไชยกับองค์เสาวคนธ์ไล่ฆ่าพวกฝรั่ง พอพบน้องสองหลานช่วยกันรบ เลี้ยวหลบหลีกไป พบสุดสาครขวางทางไว้
ตวาดถามความว่าเหวยฝรั่ง ตัวชื่อมังคลาหรือไฉน
ลงจากม้ามาดีดีอย่าหนีไป จึงจะไว้ชีวาไม่ฆ่าฟัน ฯ
            ฝ่ายพระมังคลาควบม้าหนีไปพร้อมกับนางสุนีย์ พระหน่อไทสุดสาครไล่สกัดทันแล้ว จับพระมังคลาไว้ พอนางสุนีย์เข้ามาช่วยพ่นเป็นควันออกจากปาก เหมือนเพลิงพรายสายรุ้งพลุ่งพลั่ง สุดสาครอ่อนกำลังถอยหลังหนีแล้ว นางสุนีย์กับพระมังคลาก็หายไปจากที่นั้น สุดสาครร่ายมนต์เป่าก็หายมึนเมา แล้วขึ้นนั่งหลังนิลสินธพ ออกติดตามาพบวายุพัฒน์
เห็นเหมือนพี่สีเขียวมีเขี้ยวแฝง ทั้งเนตรแดงดูพลางขวางสกัด
ฝ่ายฝรั่งยั้งหยุดยืนเยียดยัด พอเห็นหัสกันมาเหมือนลาลี
ฯลฯ
            จึงร้องถามว่า สองคนนี้เป็นลูกลาลีกับยุพาหรือว่าไร สองพี่น้องดูรู้ว่าเป็นอาและพ่อ แต่แกล้งกล่าวลวงล่อว่า ขอให้บอกชื่อของตนบ้าง
  สุดสาครฟังคำทำหัวร่อ กูเป็นพ่อไม่รู้จักมาซักถาม
แม่ไม่บอกดอกหรือไม่เข้าใจความ กูนี้นามชื่อว่า สุดสาคร
ฯลฯ
            แล้วว่ากล่าววายุพัฒน์กับหัสกันด้วยประการต่าง ๆ  บอกว่าจะส่งตัวถวายพระชนกา ตามจะโปรดโทษที่ดื้อดึงไม่ซื่อตรงต่อวงศา
  วายุพัฒน์หัสกันพรั่นพรั่นจิต มิได้คิดนบนอบตอบสนอง
ถึงชั่วดีมีสติต้องตริตรอง ไม่ฟังฟ้องฝ่ายโจทก์กล่าวโทษทัณฑ์
ฯลฯ
จะมัดผูกลูกเต้าให้เขาอื่น ไม่ผิดขืนจะว่าผิดคิดไฉน
ส่วนพวกพ้องของท่านเข้ากันไป ผิดวิสัยธรรมดาในฟ้าดิน
แม้พ่อแม่แลเห็นลูกเหลนหลาน ย่อมสงสารมีจิตคิดถวิล
แต่ร้ายกาจชาติเชื้อเหลือทมิฬ ก็ไม่กินลูกหลานวงศ์ว่านเครือ
            สุดสาครอ่อนใจอาลัยบุตร และสังเวชลูกของเชษฐา แล้วกลับคิดผิดพลั้งแต่หนหลัง จึงตอบไปว่า
แม้ลูกชั่วหัวดื้อทำซื้อรู้ จนพี่ป้าย่าปู่ไม่รู้จัก
ผลาญพงศ์เผ่าเหล่ากอทรลักษณ ชื่อว่า อกตัญญูดังงูพิษ
            ได้ว่ากล่าวลูกกับหลานอีกหลายประการ แล้วขับม้าถาโถมเข้าโจมจับ วายุพัฒน์กับหัสกันพากันหลบหนีเข้าป่าไป สุดสาครไล่ตามไปไม่พบ พอตกกลางคืนจึงกลับม้าพาไพร่พลกับมาเมืองใหม่ ฝ่ายเมืองการะเวกจับฝรั่งลังกาได้กว่าหมื่น ส่วนชาวการะเวกที่ถูกจับมาก่อนหน้านั้น สามพันคนให้ส่งคืนกลับไปเมืองการะเวก
            ฝ่ายพวกฝรั่งลังกาก็หนีดั้นด้นกลับมายังเมืองป่าตาล วายุพัฒน์กับหัสกันหนีดั้นด้นไปยังด่านกลาง
            ฝ่ายพระมังคลานั้น สุนีบาตอุ้มหลบหนีไปจนค่ำ ถึงธารน้ำมีภูเขาขวางอยู่ พอตกดึกจึงค่อยฟื้นองค์ เห็นแต่หน้านางสุนีแต่ผู้เดียว รู้ว่านางได้ช่วยชีวิตตนไว้ จึงคิดขอบใจนาง
  แล้วเอนองค์ลงบรรทมพนมมาศ สุนีบาตนั้นอุตส่าห์หาบุปผา
มาโรยรายถวายพระมังคลา แล้วอุตส่าห์นวดฟั้นให้บรรทม
ฯลฯ
            นางสุนีบาตเห็นพระมังคลาทุกข์ร้อนนอนไม่หลับ จึงร้องขับกล่อมบรรยายความธรรมชาติได้ไพเราะ พระมังคลาได้ฟังก็ชอบใจ จึงค่อยเล้าโลมนาง แต่นางได้ตอบคำว่าตนนั้นไม่สมควร และเมื่อเสร็จธุระแล้ว ก็จะขอลาไป พระมังคลาได้ฟังก็สงสัยจึงถาม นางตอบว่า องค์พระมหาสุราลัยบัญชาให้ตน ลงมาเป็นทารกเพื่อช่วยธุระของพระมังคลา
ช่วยธุระพระองค์ให้คงชีพ แล้วกลับรีบไปรักษาพลาหก
แม้มีผัวชั่วช้าอุลามก จะต้องตกอยู่แผ่นดินสุดสิ้นฤทธิ์
    ฯลฯ
จะได้เดินเชิญพระองค์ไปส่งด่าน เป็นทหารแล้วจึงจะเป็นสนม
พลางแอบองค์ทรงธรรม์ให้บรรทม เคลิ้มหลับในไพรพนมใต้ร่มรัง ฯ
            พอเช้าวันรุ่งขึ้น นางสุนีบาตก็พาพระมังคลาขึ้นบ่า แบกพาเดินไปทางทิศหรดี ไปด้วยความรวดเร็วดุจเหาะเหิน ระหว่างทางได้ชมนกชมไม้มาตลอด จนถึงเวลาพลบจึงพบพวกไพร่พลที่ออกมาตาม จึงเชิญพระมังคลาให้ทรงรถไปยังป่าตาล เมื่อขึ้นประทับบนพลับพลา พร้อมทั้งพระน้องกับสองหลานแล้ว ก็สั่งการให้ทหารตรวจตราเตรียมอาวุธไว้พร้อม ทุกป้อมค่ายแล้วคิดอ่านที่จะทำการรบต่อไป
เราแตกยับอัปราฝ่ายข้าศึก จะเหิมฮึกรบพุ่งถึงกรุงศรี
จะผันแปรแก้ไขอย่างไรดี จึงจะตีคืนได้เมืองใหม่มา ฯ
            ฝ่ายฝรั่งสิ้นความรู้ไม่มีผู้สามารถอาจอาสา พระวลายุดาจึงทูลว่า ข้าศึกมีกำลังจึงขอให้รั้งรอการรบไว้ก่อน แล้วไปบอกสังฆราชครูให้คิดช่วย พระมังคลาเห็นด้วยจึงให้เขียนใบบอก ให้ม้าใช้นำไปส่งให้อาจารย์ แล้วตรัสสั่งให้บังอลู เกณฑ์ทหารยี่สิบหมื่นมายังเมืองด่าน เพื่อสมทบกันช่วยรบข้าศึก
            ฝ่ายสังฆราชรู้ความตามใบบอกแล้ว จึงตำหนิพวกนอกครูที่ไปจับพวกพ้องของตนมา จึงเกิดเหตุ
จับพวกพ้องของตัวมามั่วสุม ศึกจึงรุมพร้อมพรักมาหักโหม
ไม่จัดแจงแบ่งเบาค่อยเล้าโลม เที่ยวรุกโรมสงครามทั้งสามเมือง
ฯลฯ
ดูตำรับทัพศึกที่ลึกซึ้ง เห็นบทหนึ่งชื่อทวาทศราศี
ผูกผนึกปิดตราไม่ช้าที ให้เสนีมึงเอาไปส่งให้นาย ฯ



ตอนที่ ๕๘ นางละเวงวัณฬาช่วยนางสุวรรณมาลีและท้าวทศวงศ์

            เรื่องการศึกรู้เข้าไปถึงในวัง นางรำภา นางยุพาผกา และนางสุลาลี รู้เรื่องแล้วจึงเข้าไปทูลองค์ละเวง เมื่อซักไซ้ไล่เรียง ได้ความแล้ว พระนางก็ตกใจด้วยไม่ทราบความมาก่อน จึงให้นางรำภาไปด้วยกันกับพระนาง

  ฝ่ายพวกพ้องกองร้อยรายคอยข่าว  รู้เรื่องราวรีบเดินตามเนินผา
ถึงด่านเข้าเฝ้าพระมังคลา ทูลว่าพระมารดามาในไพร ฯ
            พระมังคลาได้ฟังก็ประหลาดใจ จึงปรึกษาน้องกับสองหลาน พระอนุชาว่าอย่าให้พบให้หลบหายไปก่อน เพื่อดูดีร้ายให้ฝ่ายผู้เฒ่าอยู่เฝ้าฟัง พระมังคลาเห็นด้วยจึงตรัสสั่งให้นายทหารไปดำเนินการเป็นการลับ แล้วชวนพระน้องกับสองนัดดา ไปอยู่ป้อมพร้อมกันปรึกษาหารือการทำศึก
            ฝ่ายองค์ละเวงรีบเดินทางมาถึงด่านดงตาลไม่เห็นผู้คน นอกกำแพงพบแต่คนแก่เฒ่าจึงเรียกมาตรัสถาม พวกผู้เฒ่าทูลตอบความว่า พระโอรสเสด็จไปลังกาได้ห้าวันแล้ว
ปิดประตูผู้ใดเข้าในด่าน จะประหารชีวาให้อาสัญ
ข้าพระเจ้ามาแต่อารัญ ต้องพากันขัดค้างอยู่อย่างนี้ ฯ
            องค์ละเวงได้ฟังก็นึกแหนง เห็นว่าจะแกล้งไม่ให้พระนางพบ จึงคิดหลบหนีจึงทรงซักไซ้ว่า ใครเฝ้าเมืองอยู่พวกคนแก่ทูลว่า ตนไม่ได้เข้าไปเห็นเรื่องเมือง จึงไม่รู้ พระนางจึงตรัสสั่งให้บรรดาพวกข้าไท เรียกให้เปิดประตูเมือง นายประตูไม่ได้ขานตอบ จึงให้บอกซ้ำไปอีกครั้งว่า ถ้าไม่ให้เข้าจะพังประตูเข้าไป
สักครู่หนึ่งจึงเห็นคนบนหอรบ นั่งนอบนบนางวัณฬามารศรี
ร้องถามชายนายขอเฝ้าพระเสาวนีย์ ออกมานี้ราชการสถานใด ฯ
            พวกขอเฝ้าตอบว่า จะมาช่วยหน่อวรนาถทำสงคราม และมาเยี่ยมไพร่พลตามที่มีพระทัยกรุณา
เร็วเร็วเถิดเปิดบานทวารรับ รถจะได้ไปประทับพลับพลาศรี
จะขัดขวางค้างอยู่นอกบุรี โทษจะมีเหมือนขบถประทษร้าย ฯ
            พวกบนหอรบหลบหน้าไป พวกโยธาหายจึงเปิดบานประตูให้เข้าไปในเมือง แล้วเชิญประทับพลับพลาตรงหน้าป้อม นางกษัตริย์ตรัสสั่งให้ไปบอกพระมังคลา ให้พาน้องกับสองหลานมาหา ฝ่ายขุนนางพรางความว่า พระมังคลาไปลังกาได้ห้าวัน
  นางตรัสถามความเรื่องเมืองผลึก มาขังตึกไว้ที่ไหนจะไปหา
ทั้งทรงยศทศวงศ์ซึ่งส่งมา มึงช่วยพาไปให้พบประสบกัน
            ฝ่ายฝรั่งได้ฟังให้ขัดข้องกลัวตนจะต้องโทษ จึงทูลผ่อนผันว่าตนไม่ทราบความจริง พระนางได้ฟังก็เดือดดาลไล่พวกฝรั่งออกไป
            ฝ่ายนางรำภาสะหรีเห็นเหตุขัดข้อง จึงแต่งตัวถือขวานออกไปหน้าพลับพลา แล้วประกาศว่าบรรดาข้าเฝ้า เหล่าอำมาตย์ผู้เป็นข้าบาท ใครเสียสัตย์ขัดข้องตนจะฟันเสียให้ตาย
            ฝ่ายพวกพลผู้เฒ่าชาวผลึก ต้องทำหน้าที่เฝ้าตึกอยู่ได้ยินความจึงเดินเข้าไปทูลความว่า
อันองค์พระมเหสีบุตรีผลึก ต้องใส่ตึกกักขังอยู่ทั้งสาม
ทหารล้อมพร้อมคุมทุกทุ่มยาม จงทราบความตามจะโปรดที่โทษทัณฑ์ ฯ
            ฝ่ายองค์วัณฬากับนางรำภาสะหรี ได้ฟังก็มีความยินดี จึงให้ผู้เฒ่านำไปยังตึกที่ใช้ขังทั้งสองตึก ฝ่ายฝรั่งที่ล้อมวงอยู่ เห็นองค์ละเวงก็เกรงกลัวหลีกออกไป เอาขวานฟันกุญแจแล้วทั้งสองนางก็เข้าไปในห้อง
  เห็นองค์พระมเหสีบุตรีน้อย ซูบเศร้าสร้อยมิได้หวีเกศีสาง
เข้ากราบลงตรงที่เพลาพี่นาง สะอื้นพลางนางวัณฬาโศกาลัย
ฯลฯ
เพราะเจ้ากรรมทำเข็ญให้เป็นโทษ เสียประโยชน์ญาติวงศ์เผ่าพงศา
แต่ทราบข่าวเช้าค่ำกลืนน้ำตา เหมือนน้องฆ่าพี่นางให้วางวาย ฯ
            แล้วทั้งสององค์ก็ร่ำรำพันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเป็นลมสลบไป นางรำภาสะหรีแก้ไขให้ฟื้นองค์
นางวัณฬาว่าน้องจะเชิญพระพี่ ไปส่งที่เมืองใหม่เหมือนใจหวัง
ทั้งทรงยศทศวงศ์ดำรงวัง คืนไปยังรมจักรนัครา
ฯลฯ
            แล้วทั้งหมดก็ไปที่ตึกท้าวทศวงศ์ ทูลความให้ทราบ
  นางวัณฬาสารภาพได้ทราบเกล้า ว่าลูกเต้าเจ้ากรรมทำข่มเหง
ไม่บอกแม่แต่มันคิดกันเอง ไม่ยำเยงพระราชอาชญา
ฯลฯ
  ท้าวทศวงศ์ว่าอ่อพ่อขอโทษ มาหลงโกรธแม่วัณฬา รำภาสะหรี
เออลูกเต้าเล่าก็เป็นไปเช่นนี้ ไม่พอที่ทำข่มเหงกันเองเลย
ฯลฯ
            แล้วเชิญเสด็จไปรถประทับที่พลับพลา แล้วออกเดินทาง ฝ่ายฝรั่งลังกาต่างเข้ามาขัดขวาง บอกว่าเจ้าลังกาตรัสกำชับไว้ว่า
ให้ขุนนางต่างพระทัยนัยน์เนตร รักษาเขตคอยเสด็จจนเสร็จกลับ
แม้ผู้ใดไม่ฟังบทบังคับ ก็จะจับฆ่าฟันให้บรรลัย
เมืองผลึกรมจักรเป็นนักโทษ ยังไม่โปรดพระจะมาพาไปไหน
ส่งคืนมาข้าพเจ้าจะเอาไป ใส่ไว้ในตึกขึงจึงบังควร ฯ
            องค์วัณฬากับนางรำภาสะหรี จึงด่าว่าข้าเฝ้าด้วยประการต่าง ๆ แล้วว่า
มึงคิดร้ายหมายสู้กูหรือนี่ ว่าไม่มีวาสนาอาชญาสิทธิ์
ขืนขัดขวางทางไว้มึงไม่คิด ประเดี๋ยวชีวิตจะวายวาง ฯ
            ฝ่ายพวกเสนาก็ทูลว่า องค์วัณฬาเมื่อดำรงราชย์อยู่ก็มีสิทธิขาด ครั้นมอบราชสมบัติให้พระมังคลาแล้ว ก็ให้เชื่อฟังพระมังคลา
ต้องถือน้ำทำสัตย์เพราะตรัสสั่ง จึงเชื่อฟังทรงยศโอรสา
เดี๋ยวนี้พระจะกลับบังคับบัญชา เจ้าลังกาก็จะต้องเป็นสององค์
ฯลฯ
            การที่องค์วัณฬามาทำแต่ลำพัง เหมือนถอดพระหน่อนาถให้เสียยศ แล้วทูลว่า
แต่พวกพ้องสองเมืองที่เคืองขัด จะต้องตัดเอาศีรษะไว้ถวาย
ไม่สู้รบอยู่เกล้าเป็นเจ้านาย คนอื่นหมายมิให้ออกนอกกำแพง ฯ
            นางรำภาสะหรีได้ฟังก็ด่าว่า พวกที่มาขัดขวาง และว่า
ธรรมเนียมนาฎมาตุรงค์มิ่งมงกุฎ ควรช่วยบุตรบำรุงซึ่งกรุงศรี
ถึงหน่อไทไม่อยู่ในบุรี พระชนนีชี้ขาดราชการ
ฯลฯ
            แล้วแต่งองค์ทรงม้าถือขวานไล่ทหารไม่ให้ขวางทางถนน แล้วเร่งรุดออกเดินทาง
  ฝ่ายโยธาฝรั่งออกตั้งรับ ล้อมหน้าหลังคั่งคับสลับสลอน
นางรำภากล้าหาญไล่ราญรอน มันกลับย้อนแยกวิ่งจับหญิงชาย
ฯลฯ
พวกขอเฝ้าเจ้ากรมออกสมทบ ช่วยเจ้ารบรอนรับกันสับสน
นางรำภาฆ่านายตายหลายคน มันฆ่าพลพวกตามตายครามครัน ฯ
  ท้าวทศวงศ์นงลักษณ์อัคเรศ คิดสมเพชพวกโยธาที่อาสัญ
จึงตรัสห้ามรำภาสะหรีนั้น อย่าฆ่าฟันให้ตายวายชีวี
            จะกลับไปให้เขาไว้ดังเก่า องค์ละเวงเกรงว่าพระมังคลาจะฆ่าห้ากษัตริย์ด้วยขัดใจ จึงร้องบอกฝรั่งให้ไปบอกเจ้านายว่า พวกพ้องสองพารา พระนางจะพาไปไว้ในวังเมืองลังกา แล้วให้กลับรถให้นางรำภาอยู่ระวังหลัง
เปิดทวารบานบังออกหลังด่าน เหล่าทหารมิได้ห้ามปรามไฉน
รีบแรมทางกลางป่าพนาลัย ถึงกรุงไกรพร้อมเพรียงเข้าเวียงวัง
ฯลฯ
  แต่ฝ่ายข้างนางละเวงวัณฬาราช แค้นหน่อนาถนึกเห็นไม่เป็นผล
แกล้งแอบแฝงแต่งให้พวกไพร่พล ไล่ฆ่าคนข่มเหงไม่เกรงใจ
ฯลฯ
ทั้งสามนางต่างว่าหนักหนานัก เหมือนเลี้ยงรักลูกเสือร้ายเหลือแสน
จะช่วยชุบอุปถัมภ์กลับทำแค้น เหมือนเหยียบแผ่นดินผิดจนติดใจ
นางวัณฬาว่าเพราะพระสังฆราช สอนให้ขาดญาติวงศ์จึงหลงไหล
น่าแค้นเหลือเชื่อพระจะนำไป ต่อว่าให้ขาดกันเสียวันนี้
ฯลฯ
  พอผันแปรแลเห็นพระสังฆราช นั่งบนอาสน์อิงหมอนมือยอนหู
ไม่ก้มเกล้าเข้าไปนั่งตั้งกระทู้ ท่านขรัวครูสอนสั่งเจ้ามังคลา
            องค์ละเวงได้ต่อว่าสังฆราชบาทหลวงด้วยประการต่าง ๆ ที่ได้สั่งสอนพระมังคลา จนเกิดศึกรบพุ่งถึงกรุงศรี
เสียแรงเชื่อถือว่าเหมือนตาปู่ จะค้ำชูช่วยชุปอุปถัมภ์
มาหลงเชื่อเสือเฒ่าตัวเจ้ากรรม  ช่างแนะนำทำให้ขาดญาติกา ฯ
            บาทหลวงได้ฟังจึงถามว่า ได้เกิดเรื่องอะไรจึงมากล่าวหาตน ทั้งที่ตนได้สอนให้รู้สารพัด
  นางวัณฬาว่าเพชรก้อนเก็จแก้ว เขาขอให้ไปเสียแล้วเป็นไหนไหน
ใครบอนบอกออกให้รู้ครูหรือใคร สอนให้ไปชิงเขาเผาพารา
ฯลฯ
            แล้วไปรบเมืองผลึกกับรมจักร จับสองท้าวกับองค์สุวรรณมาลีและสองพระธิดา มาขังไว้ในด่านดงตาล
จนรบราฆ่าฟันกันออกวุ่น เพราะเจ้าคุณหรือมิใช่หรือใครสอน
อยู่กุฎีมีสุขไม่ทุกข์ร้อน เหมือนเสือนอนกินความสบายครัน ฯ
            บาทหลวงได้ฟังจึงด่าว่า องค์ละเวงว่าเนรคุณแล้วว่า
อ้ายมังคลาบ้าลำโพงโกงเหมือนแม่ มันเอาแต่ตามอารมณ์ทำข่มเหง
ลูกในท้องของตัวไม่กลัวเกรง มาครื้นเครงโกรธกูเป็นคูบา
ฯลฯ
ใครหายใจไม่ออกถึงนอกฟ้า ผิดก็มาอยู่กับกูไม่รู้สิ้น
กูอาศัยในแดนรักแผ่นดิน มึงกับนินทาว่าสารพัน ฯ
            องค์วัณฬาว่าเมื่อครูรู้ว่าผิด จึงไม่ห้ามศิษย์และช่วยสั่งสอน จนเกิดศึกก็ไม่ช่วยห้ามปราม
  บาทหลวงว่าวิสัยในมนุษย์ ฟันจะหลุดแล้วก็ห้ามปรามไม่ไหว
ห้ามเกษาว่าอย่าหงอกยังนอกใจ มันขืนหงอกออกจนได้มันไม่ฟัง
ฯลฯ
  นางละเวงเกรงบาปไม่หยาบหยาม  คิดถึงความซื่อตรงก็สงสาร
ชลีลาพาหญิงพวกศฤงคาร ไปปราสาทราชฐานรำคาญใจ ฯ
            ฝ่ายพระมังคลาได้แบบบาทหลวง รู้ตำรับศึกแล้ว ฝึกไพร่พลให้รู้รบ
ให้ตั้งค่ายใหญ่น้อยร้อยแปดค่าย  เป็นหลั่นรายเรียบไปในไพรสัณฑ์
แบ่งพลไว้ไพร่นายค่ายละพัน ธงสำคัญสัญญารบราวี
ฯลฯ

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |