| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

ตอนที่ ๑๓ พระอภัยโดยสารเรือนางสุวรรณมาลี

            ฝ่ายพระโยคีได้เขียนเวทวิทยาให้พระอภัย และไพร่พลทั้งสิ้น เพื่อใช้ป้องกันตนในกลางสมุทร พอตกค่ำพระอภัยให้คิดถึงนางเงือกน้อยยิ่งนัก จึงไปหาแจ้งว่าจะต้องออกเดินทางจากไปสักครึ่งปีแล้วจะกลับมารับนาง นางเงือกได้ฟังก็มีความเศร้ากำสรด ดังถูกปลิดชีวิตจะทัดทานไว้ก็จนปัญญา จึงบอกว่าตนตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว และจากถิ่นที่อยู่มาจึงไร้ญาติ หวังพึ่งแต่องค์พระอภัยแต่ผู้เดียวเท่านั้น พระอภัยจึงปลอบโยนว่า จะฝากนางไว้กับพระฤาษี แล้วมอบธำมรงค์ครุฑบุษรากับจุฑามณีรัตน์ ให้นางไว้เมื่อคลอดกุมารแล้ว จะได้ผูกให้ลูกไว้ แล้วลานางกลับไป จากนั้นได้ไปหาพระฤาษี ออกปากฝากนางเงือกไว้ให้ช่วยดูแลป้องกันอันตราย พระฤาษีก็รับปาก แล้วพระอภัย ท้าวสิลราชและบริวารกับบรรดาแขกฝรั่งทั้งหมด ที่เรือแตกแล้วได้มาอาศัยพระฤาษีอยู่บนเกาะ ก็ได้ร่ำลาพระฤาษีเพื่อจะได้ออกเดินทางกลับบ้านเมือง

พิไรร่ำพร่ำว่าด้วยอาลัย พระอภัยว่าพระองค์จงอยู่ดี
ได้พึ่งบุญอุ่นเกล้าทุกเช้าค่ำ มิทันทำแทนทดบทศรี
จะจำลาพากันไปวันนี้ เหมือนไม่มีความรักพระนักธรรม์
ฯลฯ
แขกฝรั่งตั้งร้อยพลอยร้องไห้ ร่ำพิไรกล่าวความตามภาษา
พระโยคีมีจิตคิดเมตตา จึงว่าอย่าห่วงหลังเป็นกังวล
ประเพณีชีไพรใจสันโดษ ด้วยประโยชน์ไพธิญาณการมรรคผล
ไม่พอใจให้มนุษย์ปุถุชน อยู่ปะปนคลาคล่ำให้รำคาญ
ซึ่งชาวเจ้าเข้ามาอยู่อาศัย เสียมิได้จึงช่วยด้วยสงสาร
ฯลฯ
กษัตราว่าองค์พระทรงญาณ จงประทานโทษทั่วทุกตัวคน
ได้เดินลัดวัดวาสมาบาป ทั้งกินอาบน้ำท่าผลาผล
อย่าให้เป็นเวรไปแก่ไพร่พล จะต้องทนเวทนาไปช้านาน ฯ
            จากนั้น ทุกคนก็ลงไปในสำเภาออกเดินทาง มีการแบ่งที่อยู่บนสำเภาอย่างเป็นสัดส่วน
ครั้นเสร็จจัดตรัสสั่งพวกเสนา ให้ตีม้าล่อดังเป็นกังวาน
พวกพหลพลนิกรถอนสมอ บ้างขันช่อชวนกันเข้าขันกว้าน
ฝ่ายฝรั่งตั้งเข็มเต็มชำนาญ หมายอีสานสำคัญเป็นมั่นคง
ออกจากที่คลี่ใบขึ้นใส่เสา ถึงหว่างเขาคอยลมสมประสงค์
ให้นายท้ายบ่ายหน้าเภตราตรง สำเภาทรงแล่นมาในสาคร
ฯลฯ
            ระหว่างทางพระอภัยถามถึงนางสุวรรณมาลีจากสินสมุท แล้วให้สินสมุทไปบอกนางว่า เมื่อไปถึงเมืองผลึกแล้ว ตนก็จะลาสึก และขอผ้าสไบที่นางสุวรรณมาลีให้สินสมุทมาห่ม เมื่อสินสมุทกลับไปหานางสุวรรณมาลี นางไม่เห็นผ้าสไบที่ตัวสินสมุทจึงไต่ถามว่าสินสมุทเอาผ้าสไบไปไหน สินสมุทบอกว่าพระบิดาขอเอาไป นางจึงแสร้งทำเป็นไม่พอใจที่สินสมุทพยายามปิดบังแต่แรก จากนั้นสินสมุทก็บอกนางว่า พระบิดาให้มาแจ้งว่า เมื่อไปถึงเมืองผลีกจะลาสิกขาแล้ว จะขอเป็นข้าของพระบุตรี นางจึงตอบว่าเจ้าลังกามาขอให้โอรส เมื่อกลับไปถึงเมืองแล้วก็จะจัดแจงแต่งการอภิเษก แล้วก็จำต้องไปอยู่ลังกากับสามี ยังไม่รู้ทีจะคิดประการใด สินสมุทู้เรื่องก็เคืองใจจึงพูดจาประสาเด็กว่าจะชิงนางจากฝรั่งมาให้พระบิดาของตน
           วันรุ่งขึ้นสินสมุทมาหาพระบิดา แล้วเล่าความที่สุวรรณมาลีเล่าให้ฟัง พระอภัยทราบเรื่องแล้วก็เศร้าเสียใจ เสียดายพระธิดา
พระเอนเอกเขนกขึงรำพึงคิด ไม่แจ้งจิตเลยว่าเขามาขอ
เหมือนตามไต้ในน้ำมาตำตอ ถึงแค้นคอคงจะกลืนไม่คืนคาย
แล้วคิดจำคำครูดูวันนั้น ที่หมายมั่นว่าจะสมอารมณ์หมาย
จะหาไหนได้เหมือนนุชสุดเสียดาย ลูกผู้ชายชิงชู้ดูสักที
จะเล้าโลมโฉมยงให้ปลงจิต แม้นสมคิดก็จะพาสุดาหนี
เหมือนอิเหนาเผาเมืองเรื่องยังมี เรายังดีกว่าอิเหนาเป็นเท่าไร
แล้วตรัสเรียกลูกยาเข้ามาบอก เจ้าจงหลอกลวงแม่พูดแก้ไข
เข้าไปถึงจึงทำเป็นรำไร ว่าอาลัยถึงบิดาจะลาตาย
เพราะเทวีศรีสวัสดิ์ตัดสวาท ที่มุ่งมาดมิได้สมอารมณ์หมาย
ฯลฯ
            สินสมุทได้ทำตามที่พระบิดาแนะนำทุกประการ นางสุวรรณมาลีคิดว่าจริงจัง บอกให้สินสมุทไปห้ามพระบิดาไม่ให้ทำเช่นนั้น และบอกว่านางก็รู้ว่าพระอภัยมีใจอนุกูล จึงต้องทูลความจริงทุกสิ่งไป แต่เมื่อยังมีใจคิดพิศวาสก็ให้คิดแก้ไข พระอภัยเมื่อทราบแล้วก็มอบธำมรงค์เพชรเจ็ดกะรัตให้สินสมุทไปให้พระบุตรี แล้วขอสังวาลของนางมาให้ตน สินสมุทก็จัดการตามที่ต้องการได้เรียบร้อย


ตอนที่ ๑๔ พระอภัยเรือแตก


            ฝ่ายนางผีเสื้อกลับคูหาที่อาศัย กะเฝ้าอยู่ที่เขาขวางกลางคงคา ด้วยกลัวลูกและสามีจะหนีไป ในวันที่เรือแล่นออกจากเกาะ ไม่เห็นเพราะโยคีมีคาถา ท่านอ่านมนต์ดลจิตปิดนัยน์ตา จนเภตราล่วงไปได้หลายคืน ต่อผีพรายชายด่านอยู่ชั้นนอก เข้ามาบอกเหตุให้จึงได้ตื่น นางผีเสื้อจึงได้ติดตามไป
            เรือสำเภาของท้าวสิลราชแล่นไปได้สิบห้าราตรี ก็เห็นเขาใหญ่ในทะเลเหมือนเมฆอยู่ไกลลิบ พอตกเย็นก็เกิดพายุหนักซัดสำเภาจนจวนล่มตลอดคืนไปจนสว่าง เรือจึงแตก องค์ท้าวเจ้าเมืองผลีกดับสังขาร สินสมุทเอาพระธิดาใส่บ่าพาว่ายน้ำไป พระอภัยได้เกาะไม้กระดานบานประตูลอยน้ำไป นางผีเสื้อจะเข้าจับพระอภัยก็กลัวมนต์ ได้แต่ไล่ตามมากลางคืน ด้วยเดชพระอภัยจะไม่ม้วย พอถึงเวลาเช้าก็ลอยมาถึงหาดตื้นตีนเขา นางผีเสื้อติดตามมา แต่ขึ้นเขาไม่ได้เนื่องจากลื่น จึงวิงวอนพระอภัยให้ลงมาหา บรรดาพวกไพร่ไทยแขกฝรั่งจีน เมื่อว่ายน้ำมาถึงตีนเขา นางยักษ์ก็จะเข้ามาจับแต่ต้องถอยกลับไปด้วยกลัวฤทธิ์ศิษย์ฤาษี ไพร่พลเหล่านั้นก็ขึ้นไปถึงที่พระอภัยอยู่ได้ทั้งร้อย นางผีเสื้อและพระอภัยต่างตัดพ้อต่อว่ากัน

จงฟังธรรมคำนับดับโมโห ให้โทโสสร่างเสื่อมค่อยเลื่อมใส
แล้วทรงเดชเทศนาภาษาไทย ด้วยความในโลกีย์สี่ประการ
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส ที่คฤหัสถ์หวงแหนไม่แก่นสาร
ครั้นระงับดับขันธ์สันดาน ย่อมสาธารณ์เปื่อยเน่าเสียเปล่าดาย
อย่าลุ่มหลงจงอุตสาห์รักษาศีล ให้เพิ่มภิญโญไปดังใจหมาย
อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตคิดอุบาย จะว่าตายตกนรกอเวจี
ฯลฯ
            นางผีเสื้อไม่ฟังคำพระอภัยได้อ่านคาถาพลาหกให้ฝนตกหนัก พระอภัยไม่รู้ที่จะคิด จะหนีนางทางไหนก็ไม่พ้น สุดจะทนฝนชุกลงทุกที ก็เลยสิ้นรักนางยักษ์ จึงปรึกษากับฝรั่งว่า จะเป่าปี่ผลาญนางยักษ์ให้ตาย ให้บรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นเอาน้ำบ่อน้อยหยอดหูทั้งสองข้าง แล้วพระอภัยก็เอาปี่ออกมาเป่า พวกโยธีผีสางทั้งนางมาร ก็พากันหลับซบสลบไสล พอสิ้นเสียงปี่นางยักษ์ก็ขาดใจตาย
            ครั้นฝนหายพรายผีหนีไปหมดแล้ว พระอภัยก็ชวนแขกฝรั่งลงมาจากภูเขามาที่ศพนางยักษ์ขอสมาโทษ แล้วพร่ำรำพันถึงนางยักษ์ด้วยประการต่าง ๆ
สงสารนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ย เป็นคู่เชยเคียงชิดพิสมัย
ถึงรูปชั่วตัวดำแต่น้ำใจ จะหาไหนได้เหมือนเจ้าเยาวมาลย์
ตั้งแต่นี้มีแต่จะเลยลับ จนสิ้นดับกาลาปาวสาน
จนม้วยดินสิ้นฟ้าแลบาดาล มิได้พาลพบสมรแต่ก่อนมา
พี่แบ่งบุญบรรพชิตอุทิศให้ เจ้าจงไปสู่สวรรค์ให้หรรษา
อันชาตินี้มีกรรมจำนิรา เพื่อชาติหน้าขอให้พบประสบกัน
เป็นมนุษย์ครุฑาเทวาธิราช อย่ารู้ขาดเสนหาจนอาสัญ
ให้สมวงศ์พงศ์ประยูรตระกูลกัน อย่าต่างพันธุ์ผิดเพือนเหมือนเช่นนี้
ฯลฯ
            เช้าวันรุ่งขึ้น ก็เห็นทรากศพนางยักษ์กลายเป็นหิน มีน้ำสีขาวไหลออกมาจากปาก พราหมณ์ชื่อมหัศชัยทูลเสนอแนะให้พระอภัยเผาศพนางยักษ์เสีย แต่ได้มีผู้เฒ่าออกมาจากชวากผาบอกว่าตนเป็นมหิงษ์สิงขร มาห้ามไว้ แล้วเล่าประวัติแต่หนหลังที่มาของนางผีเสื้อ แจ้งว่าถ้าเผานางผีเสื้อจะฟื้นคืนชีพมาไล่กินมนุษย์และฆ่าไม่ตาย ส่วนน้ำที่ไหลออกจากปากของนางนั้น ใครกินน้ำนั้นแล้วจะมีกำลังเกรียงไกร ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน เมื่อทุกคนรู้ดังนั้น จึงพากันกินน้ำดังกล่าวทั่วทุกคนก็เกิดกำลังดังน้ำสุรมฤต


ตอนที่ ๑๕ สินสมุทโดยสารเรือโจรสุหรั่ง


            สินสมุทแบกพระธิดามาในน้ำได้เจ็ดคืน มาถึงเกาะใหญ่แห่งหนึ่ง พอขึ้นถึงฝั่งก็หมดแรงสลบไป นางได้เฝ้าพยาบาลอยู่นาน ก็ยังไม่ฟื้นจึงไหว้วอนไทเทวาให้ช่วย

นางยอกรวอนไหว้ไทเทวัญ ทุกช่องชั้นฉกามาวจร
ที่ขึ้นล่องท่องทะเลทุกเทเวศร์ รุกขาเขตเขาเขินเนินสิงขร
แม้นพระหน่อบดินทร์นรินทร จะม้วยมรณ์มรณานิคาลัย
ชีวิตข้าอย่าได้รอดจงมอดม้วย ขอตายด้วยลูกรักที่ตักษัย
แม้นบุญหลังยังจะรอดตลอดไป ขอจงให้ลูกน้อยข้าค่อยคลาย
พอขาดคำรำพันพิษฐาน พระกุมารฟื้นสมอารมณ์หมาย
ฯลฯ
            กล่าวถึงนายโจร เป็นเชื้อชาติอังกฤษ เป็นโจรสลัดคุมพวกออกปล้นเรือในทะเล
จะกล่าวฝ่ายนายโจรใจฉกาจ เป็นเชื้อชาติอังกฤษริษยา
คุมสลัดอัศตันวิลันดา เป็นโจรห้าหมื่นฟื้นทมิฬ
มีกำปั่นนั้นยาวยี่สิบเส้น กระทำเป็นตึกกว้านสถานถิ่น
หมากมะพร้าวส้มสูกปลูกไว้กิน ไม่รู้สิ้นเอมโอชโภชนา
เลี้ยงทั้งแพะแกะไก่สุกห่าน คชสารม้ามิ่งมหิงสา
มีกำปั่นห้าร้อยลอยล้อมมา เครื่องศัสตราสำหรับรบครบทุกลำ
คอยตีเรือเหนือใต้ได้สิ่งของ เที่ยวแล่นล่องตามคลื่นทุกคืนค่ำ
ฯลฯ
            กองเรือสลัดจอดแล้ว ให้กะลาสีขึ้นไปตักน้ำบนเกาะ พบสินสมุทกับนางสุวรรณมาลีอยู่บนเกาะนั้น จึงเข้ามาซักถามว่าเป็นอะไรกัน ทำไมมาอยู่บนเกาะนี้ แล้วพากันมุ่งมองดูนางไม่วางตา
  สินสมุทพูดจากประสาแขก นัยน์ตาแตกใครอย่าแลดูแม่ข้า
เราเสียเรือเชื้อกษัตริย์พลัดพารา นี่ท่านมาแต่ข้างไหนได้เอ็นดู
โดยสารด้วยช่วยส่งให้ถึงฝั่ง จะไปยังรัตนาพาราปู่
จะรับได้หรือมิได้จะใคร่รู้ เฝ้าแลดูมารดาเราว่าไร ฯ
            ทหารโจรทราบความแล้ว ก็นำไปบอกนายโจร ฝ่ายสุหรั่ง เห็นนางยังเปล่งปลั่งตนยังไม่มีลูกเมีย ก็ดีใจหมายจะได้เล้าโลมนาง จึงรับจะพาไปส่งที่ฝั่งตามที่ประสงค์ ระหว่างทางนายโจรสลัดคิดมอมเหล้าสินสมุท เพื่อไม่ให้เป็นที่กีดขวาง สินสมุทไม่เคยดื่มเหล้าก็เมาหลับไป แล้วนายโจรก็เข้าไปหานางสุวรรณมาลี  นางได้หาทางเจรจาผันผ่อนด้วยเพทุบายว่า ขอให้ถึงฝั่งก่อนจึงจะยอมตามประสงค์ แต่นายโจรไม่ยอมรอ นางจึงขอปรึกษาลูกก่อน นายโจรจึงแก้ไขให้สินสมุทฟื้น สินสมุทมาพบนางแล้ว นางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ระหว่างที่สินสมุทเมาหลับไปให้ฟัง สินสมุทได้ฟังแล้วก็โกรธแค้นนายโจรมาก จะออกไปแก้แค้นนายโจร แต่นางได้ห้ามไว้ว่า พวกโจรมีมากเราจะสู้มันไม่ได้ แต่สินสมุทตอบว่า
  กุมาราว่าการจะราญรบ ลูกรู้จบการศึกได้ฝึกฝน
พระโยคีวิเศษให้เวทมนตร์ ทั้งคงทนแทงกันไม่บรรลัย
แม่ผีเสื้อเมื่ออยู่ในคูหา ให้มนตร์ข้าที่มนุษย์ยุดไม่ไหว
สิ้นทั้งลำกำปั่นไม่พรั่นใคร ลูกจะไปถองทุบให้ยุบยับ
แล้ววิ่งผลุนหนุนออกมานอกห้อง นางรื้อร้องเรียกไว้ก็ไม่กลับ
ฯลฯ
เห็นนายโจรโผนจับสัประยุทธ์ ทะยานหยุดเหยียบอกผงกหงาย
กระชากฉีกซึกโครงครากทลาย เอาศพนายตีไพร่ไล่กระพือ
แขกฝรั่งอังกฤษไม่คิดรบ ถลาหลบล้มกลิ้งบ้างวิ่งตื๋อ
บ้างหมอบราบกราบก้มประนมมือ เสียงอึงอื้ออ่อนน้อมไม่ยอมตาย ฯ
            บรรดาโจรทั้งหลายก็ย่อมสามิภักดิ์กับสินสมุท สินสมุทจึงพามาเฝ้านางสุวรรณมาลี จากนั้นก็ได้ไต่ถามถึงเมืองผลึก ก็ได้รับคำชี้แจงว่า
  อังกุหร่าฝรั่งได้ฟังถาม จึงทูลความจริงแจ้งแถลงไข
อันสุหรั่งอังกฤษที่บรรลัย เป็นโจรใหญ่ในนทีที่ตีเรือ
ข้าชาวเมืองสำปะหลังฝรั่งเศส เอาโหมดเทศขึ้นไปขายข้างฝ่ายเหนือ
เขาจับได้ไว้ชีวิตใช้ชิดเชื้อ เที่ยวตีเรือกับสุหรั่งตั้งเป็นนาย
แล้วสั่งให้ต้นหนไปค้นหา เอาผืนผ้าแผนที่มาคลี่ถวาย
ถิ่นประเทศเขตแขกฝรั่งราย มีจุดหมายปากน้ำเป็นสำคัญ
เมืองโสฬัสแหลมชวาพาราสุหรัด โรมพัฒน์กว้างใหญ่ไอศวรรย์
บังกะหล่ามลายูอยู่ด้วยกัน ถนนคั่นข้ามฝั่งไปลังกา
อันขอบคุ้งกรุงผลึกจารึกไว้ ตะวันตกวกออกไปไกลหนักหนา
  ฯลฯ
            พระธิดากับสินสมุท จึงแต่งตั้งอังกุหร่า เป็นหัวหน้า มีนายกอง รองกันเป็นหลั่นลด ตามกำหนดหน้าท้ายทั้งซ้ายขวา แล้วเอาเงินทองของสุหรั่งมาแจกจ่ายบรรดาบ่าวไพร่ให้ได้ทุกคน จากนั้นจึงสั่งให้เรือทั้งห้าร้อยออกค้นหาพระอภัย และห้ามทำร้ายเรือจร เหมือนที่เคยทำมาแต่ก่อน


ตอนที่ ๑๖ สินสมุทพบศรีสุวรรณ


            กล่าวถึงศรีสุวรรณกับแก้วเกษรา ครองนครรมจักร จนมีธิดาอายุได้แปดปีชื่อ อรุณรัศมี
            เมื่อศรีสุวรรณจะได้พบหลาน ก็ได้ฝันว่าไฟไหม้ป่า ติดหลังคาบ้านช่องท้องสนาม ตนได้ออกไปดับไฟ แล้วกลับลามมาติดตามเนื้อตัว แล้วว่าพระเชษฐามาช่วยดับไฟได้ แล้วประทานดวงแก้วให้ โหรทำนายว่า ที่สุบินว่าไฟไหม้นั้น จะเกิดภัยรบพุ่งถึงกรุงศรี ส่วนที่พระเชษฐามาดับไฟ และประทานแก้วมณีนั้น แสดงว่าจะสิ้นเคราะห์ และจะได้ข่าวพระเชษฐา เป็นเรื่องที่ต้นร้ายปลายดี
            ศรีสุวรรณฟังคำทำนายแล้ว ก็เห็นว่าท้าวอุเทนคงจะคิดอ่านยกทัพมาตีเมืองรมจักร จึงได้หารือกับสามพราหมณ์เตรียมการรับมือกับศัตรู โดยให้โมราไปอยู่ ณ ตำบลทางทิศตะวันออก ให้วิเชียรไปอยู่เมืองปราการเป็นฝ่ายเหนือ ส่วนเมืองทางตะวันตกเป็นทางบกให้สานนรักษาเมืองสายัณห์ ให้คุมพลคนละหมื่น วิเชียรกับนางจงกล โมรากับนางประภาวดี สานนกับนางอุบลต่างพากันไปตั้งอยู่ ณ เมืองทั้งสาม ซ่อมป้อมปราการ ฝึกทหารและวางกำลังคนไว้ตามด่าน
            กล่าวถึงกำปั่นสินสมุทแล่นไปกลางสมุทร ตัดถนนพระรามข้ามแหลมเสี้ยว ก็ยังไม่ได้ข่าวเจ้ากรุงผลึก เดินทางค้นหาอยู่สามเดือนก็สิ้นเสบียง เหลืออยู่อีกไม่ถึงเดือน  อังกุหร่าจึงทูลถามสองกษัตริย์ว่าจะทำประการใด นางสุวรรณมาลีจึงถามว่าแต่ก่อนนี้หาข้าวปลามาได้อย่างไร อังกุหร่าทูลว่าแต่ก่อนก็ได้ปล้นชาวบุรี และเที่ยวตีเรือจนมีเงินทองข้าวของเหลือเฟือ แต่เมื่อได้สั่งห้ามไม่ให้จับเรือแพเหมือนแต่ก่อน จึงได้เกิดขัดสน นางจึงบอกว่าเงินทองของสุหรั่งยังมีอยู่มาก จะเอาไปซื้อหาของที่ต้องการไม่ได้หรือ อังกุหร่าทูลตอบว่า อันพวกพ้องโจรเรือเหมือนเสือกล้า ทุกถิ่นฐานบ้านเขตไม่เมตตา จะซื้อหาเห็นไม่ได้ดังใจจง
            สินสมุทใคร่จะหักหาญคึกจึงกราบทูลมารดาว่า ถ้าเมืองไหนใหญ่กว้างมีฉางข้าว ให้พวกเราขึ้นไปว่าซื้ออาหาร แม้นไม่ให้ไล่ขับให้อัประมาณ จึงรุกรานรบเร้าเอาธานี  แล้วสั่งอังกุหร่าให้สังเกตดูทุกเมือง ถ้าเมืองใดใหญ่กว้างยุ้งฉางมี ก็ให้เข้าทอดสมอเรือที่ปากน้ำ
            อังกุหร่าทูลว่าเรือของเราต้องตัดเข้าคุ้งค้อมอ้อมออกมา เป็นเมืองใหญ่แว่นแคว้นแดนเมืองรมจักรมีไพร่พลมาก แวะไม่ได้เพราะจะมีภัย แต่สินสมุทนึกสนุกบอกว่า ถึงเราจะมีกำลังน้อยก็ไม่ถอยหนี ถ้าขัดขวางก็จะเข้าตีชิงเมืองริบเอาข้าวปลา

  ฝ่ายฝรั่งรับรสพจนารถ เที่ยวประกาศไพร่นายทั้งซ้ายขวา
แล้วยิงปืนครื้นครั่นเป็นสัญญา บ่ายเภตราตรงเข้าอ่าวบุรี
จึงทอดกำปั่นใหญ่ไว้แต่ห่าง ประมาณทางโยชน์หนึ่งถึงกรุงศรี
อังกุหร่าฝรั่งสั่งโยธี จะเข้าตีปากน้ำทำอุบาย
เกณฑ์เภตราห้าสิบรีบไปก่อน เข้านครเหมือนหนึ่งมาจะค้าขาย
ตั้งปลัดหัศเกนให้เป็นนาย คิดอุบายแก้ไขให้ได้การ
กำปั่นน้อยร้อยลำสำหรับรบ บรรจุครบเครื่องสาตราโยธาหาญ
ตั้งอังกฤษจิตุเวนเจนชำนาญ ดูคิดอ่านกองหนุนเป็นขุนพล
เรือสำรองสองร้อยจะคอยซ้ำ ถึงเพลี่ยงพล้ำเปลี่ยนผลัดไม่ขัดสน
อังกุหร่ากล้าหาญการประจญ เป็นนายพลกองหลังระวังภัย
พอย่ำฆ้องกองหน้าทั้งห้าสิบ ออกแล่นลิบลับทางสว่างไสว
ถึงยามสองกองกลางก็กางใบ ค่อยแล่นไปช้าช้าในสาคร
ครั้นรุ่งสายฝ่ายฝรั่งอังกุหร่า ออกเภตราสองร้อยลอยสลอน
คอยระวังฟังการจะรานรอน เป็นสามตอนตามทางห่างห่างมา
  ฝ่ายเรือเหล่าชาวด่านบ้านปากน้ำ ห้าสิบลำแล่นรายทั้งซ้ายขวา
ตระเวนเวียนเปลี่ยนผลัดอยู่อัตรา คอยรักษาปากน้ำทุกค่ำคืน
พอยามสองกองตระเวนเห็นกำปั่น ดูเรียงรันรายทางมากลางคลื่น
สักเท่าไรไม่แน่แลกลางคืน จึงยิงปืนสัญญาให้ราใบ
  ฝ่ายปลัดหัศเกนเจนสมุทร เห็นเรือหยุดปากอ่าวเสาไสว
รู้ว่าเหล่าชาวด่านออกต้านไว้ จะลดใบพูดจาจะช้าที
จึงยิงปืนเป็นสำเหนียกเรียกทหาร ให้หักด่านรบพุ่งชาวกรุงศรี
พวกโจรพร้อมล้อมยิงทิ้งอัคคี ชาวบุรีเรือจมล่มทลาย
ฯลฯ
เป็นโจรไล่ใกล้กลับรับราวี แกว่งอัคคีขว้างทิ้งแล้วยิงปืน
ทหารโจรโยนโซ่เอาขอสับ ชาวด่านรับรบพลางมากลางคลื่น
ฯลฯ
ให้ตีกลองร้องเร่งทหารรบ มาสมทบถือพื้นแต่ปืนผา
ลงเรือน้อยร้อยยี่สิบรีบออกมา พอเพลาสุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ
ฯลฯ
นายด่านไปไล่คนขึ้นบนป้อม สะพรั่งพร้อมโยธาทั้งหน้าหลัง
ฯลฯ
พอข้างหลังอังกุหร่าก็มาถึง สั่งให้ขึงตารางเหล็กลำละผืน
พอคลุมลำกำปั่นกันลูกปืน ทหารยืมตามช่องคอยมองยิง
พอลมแปรเข้าฝั่งอังกุหร่า ให้โยธาเทียบสำเภาเข้าตลิ่ง
ข้างชาวด่านให้ทหารเอาหินทิ้ง พวกโจรยิงปืนปีนตีนกำแพง
พวกบนป้อมหลอมตะกั่วคั่วทรายสาด จนถึงฟาดฟันกันด้วยขันแข็ง
ฯลฯ
พอมืดมนสนธยาเป็นราตรี พวกโจรตีด่านได้พอใกล้พลบ
ขึ้นริบทรัพย์จับคนบนตลิ่ง เห็นผู้หญิงอยากได้ไล่ตลบ
ฯลฯ
            สินสมุทดีใจเข้าไปขอมารดาเข้าไปชมเขตนคร นางสั่งสอนก็ระวังตน
แล้วโฉมยงสั่งสอนสินสมุท ทรงเครื่องยุทธ์อย่างกษัตริย์รัดกระสัน
ใส่เสื้อเกราะโพกผ้าเช็ดหน้าพลัน เหน็บกั้นหยั่นกริชเล็กล้วนเหล็กดี
ถือดาบด้ำคร่ำทองของฝรั่ง ถวายบังคมลามารศรี
ฯลฯ
            ศรีสุวรรณเมื่อได้ข่าวศึก ไม่แน่ใจว่าเป็นท้าวอุเทนหรือว่าใคร รู้แต่เพียงว่าเป็นทัพแขก จึงให้เตรียมทัพไว้ให้พร้อมที่จะออกไปรบกับข้าศึก ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยกทัพออกไป
แล้วทรงเครื่องเคยประจญรณรงค์ มาขึ้นทรงพาชีให้คลี่คลาย
ทหารแห่แลล้วนถืออาวุธ ปืนคาบชุดหอกดาบกำซาบสาย
ทั้งปืนล้อก็ให้ลากมามากมาย ออกทางท้ายเมืองมาริมสาคร
ถึงทุ่งกว้างหาว่าป้อมยี่สิบเส้น พอแลเห็นแขกฝรั่งนั่งสลอน
ให้หหยุดยั้งฟังการจะราญรอน  พลนิกรตั้งปีกกาหน้ากระดาน
            ฝ่ายสินสมุทยังหยุดอยู่บนป้อมพร้อมทหาร เห็นทัพบกยอออกมาต้านทานก็หารือกับอังกุหร่า อังกุหร่าเห็นว่าควรดูท่าทีข้าศึกก่อน โดยรักษาป้อมค่ายไว้ ถ้าเขารบเราจึงรบเพื่อดูกำลังข้าศึก แต่สินสมุทไม่เห็นด้วย แล้วให้แบ่งพลกันคนละครึ่ง ตนจะออกไปรบกับเจ้าเมือง ส่วนอังกุหร่าให้รักษาป้อมไว้ แล้วสินสมุทก็นำทัพออกไปจนได้รบกับศรีสุวรรณ สินสมุทเห็นศรีสุวรรณคล้ายพระบิดาก็เกิดท้อใจไม่คิดหักหาญ ศรีสุวรรณได้ทีก็ขับม้าเข้าโจมตีสินสมุทเข้าที่อก กระเด็นตกม้าล้มพับลม ทัพเมืองรมจักรก็ตีทัพแขกแตกไป ศรีสุวรรณเห็นว่าจะตีหักข้าศึกไม่ได้ จึงโบกธงให้ถอยทัพกลับออกมาล้อมป้อมปราการไว้
            ฝ่ายฝรั่งอังกุหร่า จึงหารือกันว่าจะถอยสินสมุทกลับมา ถ้ารอถึงเช้าแล้วยังไม่กลับก็จะเลิกทัพกลับไป
            ฝ่ายสินสมุท ล้มสลบอยู่กับพื้นครั้นต้องละอองน้ำค้างในกลางคืนก็ฟื้นขึ้นมา แล้วภาวนาอาคมปัดเป่าความเจ็บปวดก็หายไป แล้วก็แค้นใจลุกกลับเข้าไปกลางทัพ ไล่พิฆาตเข่นฆ่าทหารข้าศึก จนแตกตื่นอลหม่านแล้วไปหยุดท้าอยู่หน้าค่ายให้ตัวนายออกมาชิงชัยกัน แล้วจึงกลับเข้าป้อมของฝ่ายตน
            วันรุ่งขึ้นสินสมุท ก็จับกระบี่ขึ้นม้าเคลื่อนพลออกไปร้องท้าหาตัวนายทัพที่รบกันเมื่อวาน ศรีสุวรรณเห็นเข้าก็สงสัยที่กุมารผู้นี้ต้องอาวุธของเราสิ้นชีวิตแล้ว เหตุไฉนจึงกลับออกมารบได้อีก จึงได้ทรงม้ามาหน้าทัพแล้วถามว่าทารกนี้นามใด เหตุไฉนจึงมาตีบุรีเรา สินสมุทจึงตอบว่า
  สินสมุทพูดจาภาษาเด็ก ถึงทั้งเล็กก็ไม่พรั่นประหวั่นไหว
เราชื่อว่าสินสมุทวุฒิไกร พระอภัยบพิตรเป็นบิดา
ล้วนเหล่ากอหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ผ่านสมบัติบำรุงราษฎร์ศาสนา
จะแล่นไปในทางกลางคงคา ชาวพารารบเราจึงเข้าตี
ท่านชื่อไรจงบอกออกมาบ้าง เป็นขุนนางหรือบำรุงซึ่งกรุงศรี
แม้นรักตัวกลัวตายวายชีวี อัญชลีแล้วจะกลับกองทัพไป  ฯ
            ศรีสุวรรณได้ฟังสินสมุทออกชื่อพระอภัยก็เกิดความสงสัยว่าจะเป็นพี่ของพระองค์ เมื่อมองดูกุมารแล้วก็คล้ายกับพระเชษฐา แต่ผมหยิกอย่างยักษ์ สองตาก็แดงจึงยังแคลงใจ จึงตอบคำไปว่าบิดาของเจ้าอยู่ที่ไหน ตัวเราเป็นเจ้ากรุงรมจักร ให้ไปบอกออกมารบกัน
            สินสมุทได้ฟังก็โกรธบอกให้มารบกันตัวต่อตัว อย่าให้ไพร่พลมายุ่งเกี่ยวด้วย แล้วก็ขับม้าเข้าต่อสู้กับศรีสุวรรณ
            ศรีสุวรรณนั้นชำนาญในการรบได้ตีถูกกุมาราถึงห้าหกที แต่สินสมุทไม่ช้ำชอกแต่อย่างใด แล้วเข้าชิงกระบองของศรีสุวรรณ เอามาตีศรีสุวรรณตกจากม้า พวกไพร่พลก็กรูกันจับศรีสุวรรณไว้ได้แล้วพากันกลับเข้าค่าย แล้วสินสมุทก็ซักถามนามวงศ์ของศรีสุวรรณ บอกว่าเห็นพักตรละม้ายคล้ายพระบิดาของตน
            ฝ่ายศรีสุวรรณเห็นธำมรงค์เรือนครุฑบุษราของพระเชษฐาก็ประจักษ์ใจว่าเป็นของพระเชษฐา คิดว่าพระเชษฐาคงได้ดูแลกุมารผู้นี้เป็นลูก จึงได้เอาแหวนผูกข้อมือของกุมารนี้ไว้ แล้วจึงบอกว่าธำมรงค์ที่ผูกมือของสินสมุทนั้นเป็นของพระเชษฐา ทั้งผืนผ้าเจียรบาดที่คาดมาก็รู้ว่าเป็นของพระอภัยมณี แล้วบอกสินสมุทว่าพระองค์เป็นน้องพระอภัยชื่อว่าศรีสุวรรณ
            สินสมุทได้ฟังก็เห็นสมกันกับที่พระบิดาบอกไว้ จึงถามให้แน่ใจว่า พระอภัยมณีนั้นมีวิชาชำนาญประการใด และย่าปู่อยู่นิเวศน์ประเทศไหน ถ้าตอบได้ถูกต้องจึงจะเชื่อได้ว่าเป็นอาของตน
            ศรีสุวรรณก็เล่าความแต่หนหลังทุกอย่างให้ฟัง สินสมุทได้ฟังแล้วก็ทรุดตัวลงอภิวาท กอดบาทพระเจ้าอา แล้วขออภัยแล้วบอกว่าตนได้ออกติดตามพระบิดามาช้านาน แต่ก็ยังไม่พบ
            ศรีสุวรรณทราบเรื่องแล้วก็สงสารหลานยิ่งนักแล้วชวนหลานเข้าเมือง สินสมุททูลว่าพระมารดายังค้างอยู่กลางทะเล ศรีสุวรรณจึงไปบอกให้สินสมุทพาพระองค์ ไปเชิญนางสุวรรณมาลีในฐานะที่นางเป็นพระพี่นางของพระองค์เพื่อชวนเข้าธานี
            ฝ่ายท้าวทศวงศ์ ทราบความว่าข้าศึกจับศรีสุวรรณไปได้ก็เสียใจ สั่งอำมาตย์ให้จัดแต่งบรรณาการไปให้ข้าศึกบอกว่า ทางเมืองรมจักรของอนง้อ ขอเอากรุงรมจักรไถ่ชีวิตศรีสุวรรณ อำมาตย์จัดการตามรับสั่งแล้วก็เอาของบรรณาการใส่เรือบัลลังก์ทองล่องมาถึงบ้านด่านลาน พบแต่ค่ายของข้าศึก แต่ไม่มีผู้คนอยู่เลย จึงกลับไปทูลท้าวทศวงศ์ว่าไม่พบใคร เห็นแต่ศพคนตายอยู่กลาดดาษดา
            ท้าวทศวงศ์ได้ฟังแล้วก็ให้สังเวช จึงปรึกษาพวกข้าเฝ้า แล้วให้ไปหาสามเจ้าพราหมณ์มา แล้วท้าวทศวงศ์ก็แจ้งให้พระมเหสีกับพระธิดาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางอรุณรัศมีได้ทราบแล้วก็เศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก บรรดาเสนาข้าเฝ้าที่เศร้าสลด ทุกตำบลชนบท แถวถนนหนทางกลางเมืองไม่มีผู้ใดสัญจร

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |