| | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทตามพระอภัยมณี
สินสมุทพาศรีสุววรรณมาบนเรือแล้วก็ไปบอกนางสุวรรณมาลีแล้วพานางมาพบพระเจ้าอา ศรีสุวรรณก็ให้การต้อนรับในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ ทั้งสองได้สนทนากัน
| ค พระยิ้มพลางทางเพลินเห็นเมินพักตร์ | ชำเลืองลักแลชม้ายสายสมร |
| ทั้งคมขำสำอางอย่างกินนร | เสลี่ยมงอนงามพร้อมไม่ผอมพี |
| ดูเหมือนสาวราวกับยี่สิบถ้วน | ทั้งน้ำนวลผิวผ่องเป็นสองสี |
| แต่ลูกยาอายุได้แปดปี | นางจะมีลูกเต้าแต่อย่างไร |
| รำจวนจิตพิศดูเป็นครู่พัก | แล้วกลับหักหวงห้ามความสงสัย |
| ถึงอ่อนแก่แต่เป็นที่พี่สะใภ้ | เราเป็นน้องต้องไหว้เป็นไรมี |
| สามพระองค์ลงร่วมเรือพระที่นั่ง | ทหารตั้งโห่ลั่นสนั่นเสียง |
| ประโคมฆ้องกลองแตรแซ่สำเนียง | ออกรายเรียงซ้ายขวาเป็นตาริ้ว |
| ขึ้นร่องทางกางใบขึ้นใส่เสา | เวลาเช้าลมเรื่อยเฉือบเฉือยฉิว |
| ทั้งกองนำลำทรงใส่ธงปลิว | เป็นแถวทิวเถือกมาในสาคร |
| ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงปากน้ำ | ต้องเรียงลำเรือแห่แซ่สลอน |
| สำเนียงโห่โยธาพลากร | ใกล้นครคนตื่นเสียงครื้นครึก |
| แลเห็นลำกำปั่นให้ครั่นคร้าม | แต่ล้วนสามเสาสล้างมากลางกระแส |
| ชุมนุมนั่งตั้งหน้านัยน์ตาแล | จนเรือแห่แซ่มาถึงหน้าวัง |
| พอลำทรงตรงประทับกับฉนวน | พร้อมกระบวนโยธาทั้งหน้าหลัง |
| สามพระองค์ลงจากเรือบัลลังก์ | แล้วหยุดยั้งตำหนักท่าชลาลัย |
| ค เสวกาอาดูรทูลแถลง | ทุกเขตแขวงเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
| เสนามาตย์ราษฎรร้อนฤทัย | เหมือนอยู่ในกลางเพลิงเชิงตะกอน |
| พระปิตุรงค์มาตุรงค์ทรงกำสรด | ทุกข์ระทดทั้งพิภพสยบสยอน |
| แม้นข้าศึกฮีกหาญมาราญรอน | จะโอนอ่อนเอาใจเป็นไมตรี |
| อันไพร่ฟ้าข้าเฝ้เหล่าทหาร | ต่างคิดการแต่จะอพยพหนี |
| เดชะบุญทูลกระหม่อมจอมโมลี | ได้กลับมาธานีที่ดีใจ ฯ |
| ค ยุพยงทรงฟังรับสั่งถาม | ให้เขินขามคิดพรั่นประหวั่นไหว |
| ไม่เคยปดอดสูอยู่ในใจ | แข็งฤทัยทูลความไปตามเกิน |
| ชันษาข้ายี่สิบสี่เศษ | เบญจเพสจึงต้องระหกระเหิน |
| อังคารเข้าเสาร์ทับแทบยับเยิน | ให้เผอิญพรากพลัดพระภัสดา |
| ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก | กำจัดจากปิตุรงค์พระวงศา |
| แล้วเลี้ยวลดปดโป้ทำโศกา | สะอื้นอ้อนอ่อนหน้าระอาอาย ฯ |
| ค ฝ่ายมหาเสนาปรีชาหาญ | มาจัดการเกณฑ์กำปั่นเสียงหวั่นไหว |
| บ้างเปลี่ยนเสาเพลาสายระบายใบ | มีธงชัยปักประจำเป็นสำคัญ |
| ที่ลำทรงธงทองขึ้นล่องฟ้า | ปืนจังกาชะชับสลับลั่น |
| บรรจุพลคนประจำลำละพัน | มาเรียงรันรอท่าอยู่หน้าวัง ฯ |
| พระเสด็จไปไหนจะไปด้วย | เป็นเพื่อนม้วยภูวไนยเหมือนใจหมาย |
| ถ้าทิ้งไว้ไหนน้องจะครองกาย | เหมือนหญิงหม้ายมิได้พ้นคนนินทา |
| ถึงมิชั่วก็เหมือนชั่วเพราะผัวจาก | เป็นหญิงยากจะไว้ตัวกลัวหนักหนา |
| ถึงร้อยปีพี่จะไปเสียจากน้อง | ไม่ขุ่นข้องคิดอางขนางแหนง |
| อันทองคำธรรมชาติใช่ทองแดง | ไม่เคลือบแฝงแคลงฝ้าเป็นราคี |
| ซึ่งนงลักษณ์จะใคร่ไปด้วยพี่ | เกรงเป็นที่ครหาจะว่าขาน |
| ด้วยสตรีที่จะไม่มิใช่การ | อันหนึ่งหลานพี่นางจะหมางใจ |
| จะว่ารักอัคเรศกว่าเชษฐา | ไม่เคลื่อนคลาคลาดมิตรพิสมัย |
| อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์ | ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน |
| เหมือนกงเกวียนกำเกวียนเวียนระไว | จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์ |
| ขึ้นชมกำปั่นเป็นหลั่นลด | มีเกวียนรถเตรียมไว้เครื่องใช้สอย |
| ทั้งอูฐลาม้าควายก็หลายร้อย | เก๋งน้อยน้อยนั่งเล่นเย็นเย็นใจ |
| มีไม้ดอกออกลูกปลูกริมตึก | ดูครื้นครึกโสภาพฤกษาไสว |
| หญ้าฝรั่นจันทร์คณาหว้าลำไย | ช่างปลูกไว้สารพัดเหมือนปัถพี |
| ค ฝ่ายศรีสุวรรณวงศ์ทรงกำปั่น | อยู่ห้องกั้นเก๋งสทุยท้ายบาหลี |
| เห็นพยับลับฟ้าเข้าราตรี | พอลมดีเดือนสว่างกลางทะเล |
ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน
| ค จะกล่างองค์อุศเรนเจนสมุทร | ราชบุตรเจ้าลังภาษาสิงหล |
| คุมกำปั่นพันลำเที่ยวแล่นชล | ตามตำบลเกาะแก่งทุกแขวงแคว |
| ไม่พบท้าวเจ้ากรุงผรึกราช | ค่อยอ้อมหาดตะวันตกวกแฉว |
| ค โหรจับยามตามโฉลก | อุษาโยคยามจันทร์เจ็ดชั้นฉาย |
| ลงเลขลัพท์ขับไล่ยังไม่ตาย | จึงทูลทายว่าข้าเห็นไม่เป็นไร |
| พระบุตรีมีผู้จะชูช่วย | ไม่มอดม้วยมรณาอย่าสงสัย |
| อยู่ทางทิศอีสานสำราญใจ | แม้ตามไปก็จะพบประสบกัน ฯ |
| ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี | ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไก่ |
| โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย | ดาวลูกไก่เคียงอยู่เป็นคู่กัน |
| องค์อรุณทูลถามพระเจ้าป้า | ที่ตรงหน้าดาวไถชื่อไรนั่น |
| นางบอกว่าดาวธงอยู่ตรงนั้น | ที่เคียงกันเป็นระนาวชื่อดาวโลง |
| แม้นดาวกามาใกล้ในมนุษย์ | จะม้วยมุดมรณาเป็นห่าโหง |
| ดาวดวงลำสำเภามีเสากระโดง | สายระโยงระยางหางเสือยาว |
| นั้นแน่แม่ดูดาวจระเข้ | ศีรษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว |
| ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว | เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี |
| โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง | ที่พราวพร่างพรายงามดาวหามผี |
| หน่อนรินทร์สินสมุทกับบุตรี | เฝ้าเซ้าซี้ซักถามตามสงกา |
| พระชนนีชี้แจงให้แจ้งจิต | อยู่ตามทิศทั่วไปในเวหา |
| เขาแล่นมาถ้าเราแล่นไปมั่ง | จะคับคั่งเคืองใจไม่พอที่ |
| ทอดสมอรอเรียงอยู่เพียงนี้ | ดูท่วงทีท่าท่างเป็นอย่างไร |
| แล้วยิงปืนปากปลาสัญญาหยุด | อุตลุดหลีกกันเสียงหวั่นไหว |
| ทอดสมอรอหมดแล้วลดใบ | กำปั่นใหญ่อยู่กลางขวางคงคา ฯ |
| เมื่อปกปิดมิให้ผู้ใดแจ้ง | มาพรายแพร่งเสียเพราะพ่อไม่พอที่ |
| จะนิ่งไว้ในอุราว่าไม่ดี | ความเช่นนี้หรือไปเล่าให้เขาฟัง |
| เขารู้แน่ว่าแม่ยังเป็นสาว | จะว่ากล่าวลวนลามถึงความหลัง |
| ถ้าทราบถึงพระเจ้าอาก็น่าชัง | ด้วยปิดบังมิได้บอกออกให้รู้ |
| ถึงกระไรให้พบกับปิตุเรศ | พระโปรดเกศก็จะได้ไม่อดสู |
| นี่พ่อมาบอกให้อ้ายศัตรู | มันล่วงรู้ความลับน่าอับอาย |
| แต่นิ่งนึกตรึกตราหาอุบาย | ให้แยบคายแล้วจึงห้ามตามโบราณ |
| เป็นไรมีที่ตรงเข้ายงยุทธ์ | การบุรุษรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน |
| อันแยบยลกลศึกสี่ประการ | เป็นประธานที่ใฝ่กายของนายทัพ |
| ประการหนึ่งถึงจะโกรธพิโรธร้าย | หักให้หายเหือดไปเหมือนไฟดับ |
| ค่อยคิดอ่านการศึกให้ลึกลับ | แม้นจะจับก็ให้มั่นคั้นให้ตาย |
| อนึ่งว่าข้าศึกยังฮึกฮัก | จะโหมหักเห็นไม่ได้ดังใจหมาย |
| สืบสังเกตเหตุผลกลอุบาย | ดูแยบคายคาดทั้งกำลังพล |
| อนึ่งให้รู้รบที่หลบไล่ | ทหารไม่เคยศึกต้องฝึกฝน |
| ทั้งถ้อยคำสำหรับบังคับคน | อย่าเวียนวนวาจาเหมือนงาช้าง |
| ประการหนึ่งซึ่งจะชนะศึก | ต้องตรองตรึกยักย้ายได้หลายอย่าง |
| ดูท่วงทีกิริยาในท่าทาง | อย่าละวางไว้ใจแก่ไพรี |
ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณี พบศรีสุวรรณกับสินสมุท
ฝ่ายนางสุวรรณมาลีกับศรีสุวรรณ ที่อยู่บนเรือกำปั่นได้ฟังเสียงปี่พระอภัยก็จำได้
ด้วยเคยฟังมาก่อน รู้แน่ว่าเป็นพระอภัยขอให้ไปหา สินสมุทจึงขออาสาไปรับพระอภัยมาที่เรือ
แต่สองกษัตริย์ตรัสห้ามไว้ว่า อุศเรนมีพระคุณกับบิดา ควรจะไปไต่ถามเขาก่อน
อย่าให้ฝ่ายเขาว่าได้ จะเป็นที่ขัดข้องหมองใจ อาจเป็นศึกขึ้นมา ก็จะเสียทีเพราะพระอภัยอยู่กับเขา
จึงขอให้สินสมุทอยู่กับน้อง และป้องกันแม่ไว้ แต่สินสมุทก็ไม่ยอมให้พระเจ้าอาไป
ตนจะขอไปเองโดยจะไปไต่ถามแต่โดยดี ถ้าย่ำยีจึงจักสู้ดูฝีมือ แล้วสินสมุทก็กระโดดลงน้ำดำไป
ศรีสุวรรณไม่ไว้ใจฝ่ายอุศเรน จึงสั่งการให้เตรียมเรือไว้สามสิบลำ ออกแล่นคอยดูอยู่ห่าง
ๆ เอาไว้แก้ไขสถานการณ์
สินสมุทดำน้ำมาถึงกำปั่นที่พระอภัยยังเป่าปี่อยู่ แล้วก็ปีนขึ้นกำปั่นไปเห็นพวกไพร่พลนอนหลับอยู่กลาดเกลื่อน
ส่วนพวกที่ตื่นอยู่ก็เป็นพวกจีนจาม ที่เคยรู้จักมาก่อน จึงตรงเข้ากอดบาทพระบิดาแล้วร้องไห้
พระอภัยเห็นลูกก็มีความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สงสารลูกจนสลบไป
อุศเรนเห็นสินสมุท จึงถามพวกพระอภัยว่าเป็นใคร เขาทูลตอบว่าเป็นพระโอรส พระอภัยฟื้นขึ้นมาเห็นอุศเรนกับสินสมุท
กับบรรดาพวกไพร่พลอยู่กันพร้อมหน้า สินสมุทถามถึงความเป็นมาแต่หนหลัง
พระอภัยก็เล่าความให้ฟังแล้วจึงตรัสถามความทางฝ่ายสินสมุท สินสมุทก็ทูลความให้ฟังทั้งหมด
พระอภัยรู้ว่าพระอนุชามากับสินสมุทด้วยก็ชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงตรัสบอกอุศเรนว่าสินสมุทเป็นบุตรของตน
เมื่อเรือแตกได้แบกพระธิดามากลางน้ำ จนได้มากับเรือกำปั่น นับว่าเป็นเดชะบุญที่ไม่ต้องชิงนาง
แล้วจึงเชิญอุศเรนไปยังเรือกำปั่นของลูก จะได้พบพระธิดา แล้วสอนให้สินสมุทไปกราบอุศเรน
ฝ่ายอุศเรนรู้เรื่องแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก เรียกสินสมุทมานั่งเคียงข้าง
บอกว่าจะไม่ลืมบุญคุณของสินสมุทไปจนวันตาย
จากนั้นก็เอาเครื่องทรงอย่างกษัตริย์มาให้สินสมุท
แต่สินสมุทบอกว่าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ตนรักแต่แม่สุวรรณมาลี พระอภัยจึงกลบเกลื่อนว่าอย่าถือความ
แล้วเชิญไปหาพระธิดา
อุศเรนได้ฟังคำพระอภัยจึงค่อยคลาย แล้วสั่งไพร่พลเตรียมเดินทางไปพบพระธิดา
| สั่งล้าต้าต้นหนคนทั้งปวง | ตามพระทรวงซ้ายขวาสิบห้าลำ |
| ทั้งลำทรงธงทองเป็นสองแถว | เลิศแล้วลายหลังคาเลขาขำ |
| หัศเกนเจนปืนยืนประจำ | เข้าเคียงลำกำปั่นใหญ่ดังใจจง |
| อุศเรนรื่นเริงบันเทิงจิต | เข้าสถิตเตียงทองที่ห้องสรง |
| ไขสุหร่ายปรายละอองมาต้ององค์ | แล้วสอดทรงสนับเพลาเนาวรัตน์ |
| ฉลององค์ทรงสวมกรวมสลับ | ดุมประดับแต่ล้วนเพชรเจ็ดกะรัต |
| ปั้นเหน่งเนื่องเฟื่องกระหนกกระหนาบรัด | แล้วทรงทัดพระมหามาลาระบาย |
| แซมดอกไม้ไหวสว่างหางการเวก | เป็นอย่างเอกอวดผู้หญิงหยิ่งใจหาย |
| ธำมรงค์ทรงหัตถ์จำรัสพราย | พระกรซ้ายเกี่ยวผ้าเช็ดหน้ากรอง |
| สอดเสน่าเหน็บตรีกระบี่ถือ | สนับมือสอดใส่ไว้ทั้งสอง |
| ส่านจุหรี่สีกุหร่าดั่นหน้าทอง | สอดฉลองพระบาทเพชรเสด็จมา |
| ค นางกอดบุตรสุดขืนสะอื้นไห้ | เหลืออาลัยแล้วพ่อคุณของแม่เอ๋ย |
| เหมือนหญิงร้ายชายชังไม่หวังเชย | จะแหงนเงยดูมนุษย์ก็สุดอาย |
| ถึงม้วยแล้วแก้วตาอย่าปรารภ | จะขอพบสุดสวาทเหมือนมาดหมาย |
| ขอให้พ่อก่อเกิดกับร่างกาย | ได้กินสายกษิรามารดาเดียว |
| เจ้ารักแม่แม่ก็รู้อยู่ว่ารัก | มิใช่จักลืมคุณทำฉุนเฉียว |
| แต่เหลืออายหลายสิ่งจริงจริงเจียว | เป็นหญิงเดียวชายสองต้องหมองมัว |
| เมื่อแรกเราเล่าบอกเขาออกอื้อ | อ้างเอาชื่อพระบิดาว่าเป็นผัว |
| ครั้นคู่เก่าเขามารับก็กลับกลัว | แกล้งออกตัวให้มาถามว่าตามใจ |
| จึงเจ็บจิตคิดแค้นแม้นจะอยู่ | ก็อดสูเสียสัตย์ต้องตัดษัย |
| กันแสงพรางทางสะอื้นขืนอาลัย | พระชลนัยน์ไหลซาบอาบพักตรา ฯ |
| ค สินสมุทพูดจาประสาเด็ก | ถึงเราเล็กก็ไม่ส่งอย่าสงสัย |
| รับบิดามาก็ช่างใครประไร | หรือข้าใช้สอยเจ้าให้เอามา |
| เราติดตามปิตุรงค์ก็คงพบ | ไม่รักคบคนนอกพระศาสนา |
| เจ้าเลิกทัพกลับหลังไปลังกา | จะได้หาเมียงามเอาตามใจ |
| ที่ตรงนี้มิได้คืนอย่าขืนแค่น | ถึงจะแสนโศกาน้ำตาไหล |
| ก็ตายเปล่าเราไม่ยักให้ใครไป | อย่ากวนใจจู้จี้ข้าขี้คร้าน ฯ |
| อันรักษาศีลสัตย์กัตเวที | ย่อมเป็นที่สรรเสริญเจริญคน |
| ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา | เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน |
| ให้ทุกข์ร้อนวอนหวอทรพล | พระเวทมนตร์เสื่อมคลายทำลายยศ |
| เพราะบิดามาด้วยอุศเรนนี้ | คุณเขามีมากล้นพ้นกำหนด |
| เจ้าทำผิดก็เหมือนพ่อทรยศ | จงออมอดเอ็นดูพ่อแต่พองาม ฯ |
| ฉวยรบพุ่งยุ่งยิ่งชิงไปได้ | ก็อาลัยอยู่ด้วยนางจะห่างเห |
| สนิทแนบแยบคายช่างถ่ายเท | เขียนจรเข้ขึ้นไว้หลอกตะคอกคน |
| เราก็ชายหมาดมาดว่าชาติเชื้อ | ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน |
| ไม่รักวอนงอนง้อทรชน | แล้วพาพลกลับมาเภตราพลัน |
| ถึงกองทัพยับยั้งนั่งเก้าอี้ | สั่งให้ตีกลองสัญญาโกลาลั่น |
| ร้องเรียกเรือฝรั่งมาทั้งนั้น | แล้วแบ่งปันเป็นแพนกแยกนาวา |
| กองละร้อยคอยรบสมทบทัพ | เกณฑ์กำกับเกียกกายทั้งซ้ายขวา |
| ให้คอยล้อมพร้อมพรั่งดังสัญญา | เห็นลมกล้าได้ที่ตีประดัง |
| ให้พวกเรือเหนือลมนั้นสมทบ | เข้ารุกรบลำใหญ่เหมือนใจหวัง |
| แม้นขึ้นได้จุดไฟอย่าหยุดยั้ง | แล้วกองหลังหนุนด้วยช่วยให้ทัน |
| ทั้งโยธากล้าหาญคอยราญรอน | ใส่เสื้อซ้อนเกราะกระสันกันสาตรา |
| ทหารปืนยืนมองตามช่องกราบ | ศรกำซาบแทรกรายทั้งซ้ายขวา |
| พร้อมทหารขานโห่เป็นโกลา | ธงสัญญาโบกบอกให้ออกเรือ |
| กองละร้อยคอยรบไม่หลบหลีก | ชักเป็นปีกกาไปทั้งใต้เหนือ |
| บ้างถือชุดจุดไฟไว้เป็นเชื้อ | เข้าล้อมเรือลำใหญ่ระไวระวัง ฯ |
| | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |