| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

ตอนที่ ๑๗ ศรีสุวรรณกับสินสมุทตามพระอภัยมณี

            สินสมุทพาศรีสุววรรณมาบนเรือแล้วก็ไปบอกนางสุวรรณมาลีแล้วพานางมาพบพระเจ้าอา ศรีสุวรรณก็ให้การต้อนรับในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ ทั้งสองได้สนทนากัน

     พระยิ้มพลางทางเพลินเห็นเมินพักตร์ ชำเลืองลักแลชม้ายสายสมร
ทั้งคมขำสำอางอย่างกินนร เสลี่ยมงอนงามพร้อมไม่ผอมพี
ดูเหมือนสาวราวกับยี่สิบถ้วน ทั้งน้ำนวลผิวผ่องเป็นสองสี
แต่ลูกยาอายุได้แปดปี นางจะมีลูกเต้าแต่อย่างไร
รำจวนจิตพิศดูเป็นครู่พัก แล้วกลับหักหวงห้ามความสงสัย
ถึงอ่อนแก่แต่เป็นที่พี่สะใภ้ เราเป็นน้องต้องไหว้เป็นไรมี
            ศรีสุวรรณเชิญนางเข้าเมืองรมจักร แล้วบอกว่าหลังจากนั้นก็จะออกติดตามพระพี่ยา ถ้าหาไม่พบก็จะไม่กลับวัง นางสุวรรณมาลีเห็นว่าไม่สมควรที่จะปฏิเสธ จึงตรัสตอบขอบคุณ แล้วลงไปที่พัก
            วันรุ่งขึ้นทั้งหมดก็พากันลงเรือพระที่นั่งเข้าเมือง
สามพระองค์ลงร่วมเรือพระที่นั่ง ทหารตั้งโห่ลั่นสนั่นเสียง
ประโคมฆ้องกลองแตรแซ่สำเนียง ออกรายเรียงซ้ายขวาเป็นตาริ้ว
ขึ้นร่องทางกางใบขึ้นใส่เสา เวลาเช้าลมเรื่อยเฉือบเฉือยฉิว
ทั้งกองนำลำทรงใส่ธงปลิว เป็นแถวทิวเถือกมาในสาคร
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงปากน้ำ ต้องเรียงลำเรือแห่แซ่สลอน
สำเนียงโห่โยธาพลากร ใกล้นครคนตื่นเสียงครื้นครึก
ฯลฯ
            พวกชาวเมืองเห็นบรรดาแขกฝรั่งมากันคับคั่ง ก็คิดว่าเป็นข้าศึกก็พากันหนีเป็นอลหม่าน
            ท้าวทศวงศ์ได้ยินฆาตกลองศึก ก็ตกพระทัยจึงปรึกษาข้าเฝ้าแล้วให้เสนาในใหญ่น้อย ไปคอยรับนายทัพบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะไปถวายเมืองกับเครื่องยศ ตัวพระองค์กับมเหสีและลูกหลาน จะออกป่าไปบรรพชาเป็นดาบส บรรดาเสนาก็ทูลว่า ถ้าพระองค์ทรงผนวชก็จะบวชตามไป แล้วถวายบังคลลงมาแพ
แลเห็นลำกำปั่นให้ครั่นคร้าม แต่ล้วนสามเสาสล้างมากลางกระแส
ชุมนุมนั่งตั้งหน้านัยน์ตาแล จนเรือแห่แซ่มาถึงหน้าวัง
พอลำทรงตรงประทับกับฉนวน พร้อมกระบวนโยธาทั้งหน้าหลัง
สามพระองค์ลงจากเรือบัลลังก์ แล้วหยุดยั้งตำหนักท่าชลาลัย
            บรรดาขุนนางหมอบเฝ้าอยู่เห็นเจ้านายก็เข้าไปเฝ้า จอมกษัตริย์ได้ตรัสถามความนคร บรรดาเสวกาก็ทูลแถลงให้ทรงทราบ
     เสวกาอาดูรทูลแถลง ทุกเขตแขวงเศร้าหมองไม่ผ่องใส
เสนามาตย์ราษฎรร้อนฤทัย เหมือนอยู่ในกลางเพลิงเชิงตะกอน
พระปิตุรงค์มาตุรงค์ทรงกำสรด ทุกข์ระทดทั้งพิภพสยบสยอน
แม้นข้าศึกฮีกหาญมาราญรอน  จะโอนอ่อนเอาใจเป็นไมตรี
อันไพร่ฟ้าข้าเฝ้เหล่าทหาร ต่างคิดการแต่จะอพยพหนี
เดชะบุญทูลกระหม่อมจอมโมลี ได้กลับมาธานีที่ดีใจ ฯ
            จอมกษัตริย์จึงตรัสเล่าตั้งแต่เข้ารบจนพบนัดดา แล้วให้เรียกวอช่อฟ้า มาเชิญพระพี่นางไปปรางค์ทอง เมื่อทุกคนได้พบกันแล้ว จอมกษัตริย์ก็ได้ตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ท้าวทศวงศ์มีความสงสัยจึงตรัสถามอายุนางสุวรรณมาลี
     ยุพยงทรงฟังรับสั่งถาม ให้เขินขามคิดพรั่นประหวั่นไหว
ไม่เคยปดอดสูอยู่ในใจ แข็งฤทัยทูลความไปตามเกิน
ชันษาข้ายี่สิบสี่เศษ เบญจเพสจึงต้องระหกระเหิน
อังคารเข้าเสาร์ทับแทบยับเยิน ให้เผอิญพรากพลัดพระภัสดา
ยังอยู่แต่แม่ลูกเป็นเพื่อนยาก กำจัดจากปิตุรงค์พระวงศา
แล้วเลี้ยวลดปดโป้ทำโศกา สะอื้นอ้อนอ่อนหน้าระอาอาย ฯ
            ท้าวทศวงศ์ขอให้นางสุวรรณมาลีอยู่รอท่าฟังข่าวพระอภัยที่เมืองรมจักร แต่นางสุวรรณมาลีทูลตอบว่า ถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนเป็นหญิงทอดทิ้งผัว จึงขอตามหาพระอภัยในทะเล ที่เข้าเมืองก็เพื่อมาประณตบทมาลย์ให้ท้าวทศวงศ์ และคณาญาติได้รู้จักราชนัดดาว่าเป็นหลาน แล้วจะรับออกติดตามหาพระอภัยต่อไป
            ฝ่ายองค์อรุณรัศมี ก็รักใคร่สนิทสนมกับสินสมุทอย่างสุจริตใจ พอตกกลางคืนจึงแอบหนีมาพบพระเจ้าป้ากับพระเชษฐา ขอให้อยู่ตนอย่าไปไหน นางสุวรรณมาลีจึงชวนให้เดินทางไปด้วยกัน นางก็ดีใจขอไปด้วย
            ฝ่ายสามพราหมณ์วิเชียร โมรา และสานน ได้รับแจ้งเหตุรบพุ่งในกรุงศรี แล้วข้าศึกจับจอมกษัตริย์ไปได้ก็ตกใจ ต่างรับจัดพลได้คนละพัน แล้วรับยกมาเมืองรมจักร เมื่อรู้ข่าวจากชาวเมืองแล้วก็คลายใจ แล้วเข้าไปเฝ้าพระศรีสุวรรณ จอมกษัตริย์จึงฝากเมืองไว้ให้สามพราหมณ์ช่วยดูแล แล้วสั่งให้เกณฑ์กำปั่นหุ้มทอง สองร้อยลำเตรียมออกเดินทางไปหาพระอภัย
     ฝ่ายมหาเสนาปรีชาหาญ มาจัดการเกณฑ์กำปั่นเสียงหวั่นไหว
บ้างเปลี่ยนเสาเพลาสายระบายใบ มีธงชัยปักประจำเป็นสำคัญ
ที่ลำทรงธงทองขึ้นล่องฟ้า ปืนจังกาชะชับสลับลั่น
บรรจุพลคนประจำลำละพัน มาเรียงรันรอท่าอยู่หน้าวัง ฯ
            พระศรีสุวรรณได้ไปร่ำลานางเกษรา ขอให้อยู่กับพระบิดา และเลี้ยงลูกเพราะพระองค์ต้องจากไปนับปี นางเกษราวิงวอนขอติดตามไปด้วย
พระเสด็จไปไหนจะไปด้วย เป็นเพื่อนม้วยภูวไนยเหมือนใจหมาย
ถ้าทิ้งไว้ไหนน้องจะครองกาย เหมือนหญิงหม้ายมิได้พ้นคนนินทา
ถึงมิชั่วก็เหมือนชั่วเพราะผัวจาก เป็นหญิงยากจะไว้ตัวกลัวหนักหนา
ฯลฯ
            พระศรีสุวรรณจึงปลอบนาง พร้อมกับให้เหตุผลว่า
ถึงร้อยปีพี่จะไปเสียจากน้อง ไม่ขุ่นข้องคิดอางขนางแหนง
อันทองคำธรรมชาติใช่ทองแดง ไม่เคลือบแฝงแคลงฝ้าเป็นราคี
ฯลฯ
ซึ่งนงลักษณ์จะใคร่ไปด้วยพี่ เกรงเป็นที่ครหาจะว่าขาน
ด้วยสตรีที่จะไม่มิใช่การ อันหนึ่งหลานพี่นางจะหมางใจ
จะว่ารักอัคเรศกว่าเชษฐา ไม่เคลื่อนคลาคลาดมิตรพิสมัย
ฯลฯ
อันทุกข์โศกโรคภัยในมนุษย์ ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน
เหมือนกงเกวียนกำเกวียนเวียนระไว จงหักใจเสียเถิดเจ้าเยาวมาลย์
ฯลฯ
            วันรุ่งขึ้นพระศรีสุวรรณก็ไปพบพี่สะใภ้แจ้งว่า ได้ฤกษ์ดีที่จะออกเดินทาง แล้วงพากันไปทูลลาพระบิดามารดา นางอรุณรัศมีบอกว่าจะไป พระอัยกาได้ห้ามปรามไว้ด้วยเกรงจะลำบาก แต่นางบอกว่าได้รับปากกับพระเจ้าป้าแล้ว ถ้าไม่ไปด้วยก็เหมือนขี้ปด จะไปเป็นเพื่อนป้าช่วยหาลุง
            สองกษัตริย์จะต้องผ่อนผันให้นางเดินทางไป นางแก้วเกษราก็มีความอาลัย แต่เกรงใจพระเจ้าป้าไม่พาที จากนั้นทั้งสามกษัตริย์ก็มาส่งที่ตำหนักแพ แล้วลงเรือพระที่นั่งตามไปส่งสองกษัตริย์จนออกปากอ่าวที่กำปั่นใหญ่จอดอยู่ นางสุวรรณมาลีเชิญสามกษัตริย์ขึ้นชมกำปั่น
ขึ้นชมกำปั่นเป็นหลั่นลด มีเกวียนรถเตรียมไว้เครื่องใช้สอย
ทั้งอูฐลาม้าควายก็หลายร้อย เก๋งน้อยน้อยนั่งเล่นเย็นเย็นใจ
มีไม้ดอกออกลูกปลูกริมตึก ดูครื้นครึกโสภาพฤกษาไสว
หญ้าฝรั่นจันทร์คณาหว้าลำไย ช่างปลูกไว้สารพัดเหมือนปัถพี
ฯลฯ
            เมื่อสามกษัตริย์เดินทางกลับ สี่กษัตริย์ก็ออกเดินทางไปกลางทะเล
     ฝ่ายศรีสุวรรณวงศ์ทรงกำปั่น อยู่ห้องกั้นเก๋งสทุยท้ายบาหลี
เห็นพยับลับฟ้าเข้าราตรี พอลมดีเดือนสว่างกลางทะเล
ฯลฯ


ตอนที่ ๑๘ พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรน


     จะกล่างองค์อุศเรนเจนสมุทร ราชบุตรเจ้าลังภาษาสิงหล
คุมกำปั่นพันลำเที่ยวแล่นชล ตามตำบลเกาะแก่งทุกแขวงแคว
ไม่พบท้าวเจ้ากรุงผรึกราช ค่อยอ้อมหาดตะวันตกวกแฉว
ฯลฯ
            อุศเรนตามหาอยู่สามเดือนก็ไม่พบ ครั้นแล่นเรือมาใกล้เขามหิงสิงขรส่องกล้องดู เห็นริ้วท่าธงปลิวสะบัดอยู่เห็นทีจะมีคนจึงให้แวะไปดู
            กล่าวถึงพระอภัย พำนักอยู่ที่มหิงสิงขรกับผู้คนอีกร้อยคนคอยท่าเภตราจรอยู่ห้าเดือน ในวันนั้นได้แลเห็นเภตราในวารีต่างก็พากันมาเฝ้าดู บ้างก็บนบานเจ้าอ่าวทะเลเทวดาขอให้เรือมาที่เขานี้
            เรือลำของอุศเรนแล่นมาถึงหาดเห็นคนบนสิงขร จึงจอดทอดสมอแล้วลงเรือเล็กพร้อมไพร่พลตีกรรเชียงเข้าสู่หาดทราย เห็นองค์พระอภัยทรงเครื่องสวยงาม คิดว่าคงเป็นกษัตริย์มาแต่ไกล จึงตรัสถามไป พระอภัยตอบว่าพระองค์เป็นเจ้าบุรีรัตนา ผีเสื้อพามาไว้ในสาคร แล้วเล่าความแต่หนหลังให้ฟังทั้งหมด จากนั้นก็ขอโดยสารไปขึ้นฝั่ง เพื่อจะได้หาทางกลับไปเมืองต่อไปด้วย
            อุศเรนได้ฟังแล้วก็คร่ำครวญถึงนางสุวรรณมาลีด้วยคิดว่านางคงสิ้นชีวิตแล้วจนล้มสลบไป เมื่อช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้ไต่ถาม นามกรกัน รวมทั้งบิดามารดานามธานี แล้วจึงได้เล่าเรื่องเมืองผลึกที่จะจัดแต่งงานอภิเษก พอดีนางสุวรรณมาลีมาหายไปกลางทะเล จึงออกติดตามมาสามเดือนแล้ว แล้วถามว่าเมื่อเรือแตกแล้วพระอภัยยังได้ทราบความเป็นไปของนางสุวรรณมาลีว่าเป็นตายร้ายดีประการใด
            พระอภัยได้ฟังเรื่องแล้วก็รู้ว่าอุศเรนจะเป็นคู่กับนางสุวรรณมาลี และกำลังตามหานางอยู่ด้วยความอาวรณ์ก็นึกสงสาร เห็นว่า พระองค์ไม่ควรชิงพระธิดามาเป็นของตนและคิดจะผูกไมตรีกับอุศเรนไว้ จึงมิได้กล่าวคำให้เป็นที่ระคายเคือง จึงแจ้งแก่อุศเรนว่าเมื่อโดยสารเรือมาตนเป็นดาบสอยู่ท้ายเรือ ส่วนนางอยู่กลางเรือ จึงไม่รู้เรื่องกัน แล้วแนะนำให้อุศเรนหาโหรมาทำนาย
     โหรจับยามตามโฉลก อุษาโยคยามจันทร์เจ็ดชั้นฉาย
ลงเลขลัพท์ขับไล่ยังไม่ตาย จึงทูลทายว่าข้าเห็นไม่เป็นไร
พระบุตรีมีผู้จะชูช่วย ไม่มอดม้วยมรณาอย่าสงสัย
อยู่ทางทิศอีสานสำราญใจ แม้ตามไปก็จะพบประสบกัน ฯ
            อุศเรนได้ฟังคำทำนายก็คลายใจ แล้วเชิญพระอภัยร่วมเรือกับตนเที่ยวติดตามหาพระธิดาต่อไป บอกว่าพระอภัยแก่ชันษากว่าตนก็ขอให้เป็นพี่น้องกัน แล้วพากันลงเรือแต่ออกเรือไม่ได้ แม้จะให้ไพร่พลลงลากจนเชือกขาดเรือก็ยังคงติดอยู่ ทั้งนี้เนื่องจากผีเสื้อที่ตายไปแล้วบันดาลให้เรือติด เมื่อสอบถามความจากผู้เฒ่า ก็ได้รับคำตอบว่า ผีเสื้อยุดเรือไว้ ขอให้พระองค์เสด็จขึ้นฝั่ง ไปสั่งสารยักษ์ที่ตายให้นางสิ้นอาลัย พระอภัยจึงไปบอกกล่าวแก่ศพนางผีเสื้อที่เป็นหิน ครวญคร่ำรำพันถึงนางจนสลบไป เมื่อแก้ไขให้ฟื้นแล้วอุศเรนก็สั่งให้ทำโรงร่มบังซากผีเสื้อเอาไว้ แล้วจึงออกเรือ แล่นไปทางทิศอีสาน
            จะกล่าวถึงกำปั่นสินสมุทกับนางอรุณรัศมี พร้อมทั้งองค์สุวรรณมาลีกับกษัตริย์ศรีสุวรรณแล่นมาในทะเล เที่ยวค้นหาทั่วทุกเกาะแก่ง ก็ไม่พบองค์พระอภัย นางอรุณรัศมีกับสินสมุทต่างก็สนุกสนานมาในเรือ พอตกกลางคืนพี่น้องสองกุมารก็บรรทมกับมารดา พระชนนีชี้ชวนชมดาราให้หลานรู้จักไว้
ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไก่
โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไนย ดาวลูกไก่เคียงอยู่เป็นคู่กัน
องค์อรุณทูลถามพระเจ้าป้า ที่ตรงหน้าดาวไถชื่อไรนั่น
นางบอกว่าดาวธงอยู่ตรงนั้น ที่เคียงกันเป็นระนาวชื่อดาวโลง
แม้นดาวกามาใกล้ในมนุษย์ จะม้วยมุดมรณาเป็นห่าโหง
ดาวดวงลำสำเภามีเสากระโดง สายระโยงระยางหางเสือยาว
นั้นแน่แม่ดูดาวจระเข้ ศีรษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว
ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี
โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง ที่พราวพร่างพรายงามดาวหามผี
หน่อนรินทร์สินสมุทกับบุตรี เฝ้าเซ้าซี้ซักถามตามสงกา
พระชนนีชี้แจงให้แจ้งจิต อยู่ตามทิศทั่วไปในเวหา
ฯลฯ
            กำปั่นของพระศรีสุวรรณซึ่งเป็นกองหลังได้แล่นมาถึงชวากปากน้ำสำปะหลัง ไม่เข้าฝั่งคัดทางไปข้างขวา ได้เห็นสำเภาของชาวลังกาอยู่แต่ไกล กองนำลำทรงของสินสมุทสั่งให้จุดฟืนไฟ เมื่อกำปั่นลำทรงของศรีสุวรรณขึ้นมาทันจึงกล่าวว่า
เขาแล่นมาถ้าเราแล่นไปมั่ง จะคับคั่งเคืองใจไม่พอที่
ทอดสมอรอเรียงอยู่เพียงนี้ ดูท่วงทีท่าท่างเป็นอย่างไร
แล้วยิงปืนปากปลาสัญญาหยุด อุตลุดหลีกกันเสียงหวั่นไหว
ทอดสมอรอหมดแล้วลดใบ กำปั่นใหญ่อยู่กลางขวางคงคา ฯ
            ฝ่ายกองทัพอุศเรนเห็นกำปั่นจอดเรียงรายอยู่ข้างหน้า จึงยิงปืนเป็นสัญญา จะรอราหน้าหลังตั้งกระบวน แลเห็นกำปั่นใหญ่ เห็นว่าจะจาบจ้วงไปนั้นไม่ควร ถ้าเกิดรบกันจะอับจน ด้วยเห็นผิดเพศพาณิชก็คิดสงสัยว่า จะเป็นโจรสลัดมาเที่ยวปล้นเรือพวกพ่อค้า หรือว่าเป็นกษัตริย์ เมื่อรู้ว่าเป็นอะไรแล้วก็จะได้เป็นไมตรี แล้วให้นายทหารลงเรือเร็วไปยังทัพใหญ่ของอีกฝ่ายหนึ่ง บอกว่าตนเป็นทูตมาถามว่า นายเรือเป็นกษัตริย์หรือว่าเป็นนายพานิช สินสมุทจึงถามว่า ผู้ใดใช้มา นายของท่านมีนามใด นายทหารที่เป็นทูตมาก็แจ้งว่า นายของตนเป็นราชโอรสเจ้าชาวลังกามีนามว่า อุศเรน มาแต่งงานกับราชธิดาเจ้าเมืองผลึก แต่เจ้าเมืองผลึกกับพระธิดาหายไป จึงเที่ยวตามหาในท้องทะเล เมื่อมาพบพวกพระองค์ก็สงสัย จึงหยุดยั้งขบวนเรือไว้แล้วใช้ให้ตนมาถาม
            สินสมุท  ทราบความแล้วก็รู้ว่าลูกเจ้าลังกา จะมาแต่งงานกับมารดาของตนก็โกรธ จึงบอกไปว่าเจ้ากรุงผลึกไม่ได้คิดจะผูกรักสมัครสมานด้วย จึงได้ยกพระธิดาให้พระบิดาของตน ขณะนี้มารดาของตนก็อยู่กับตน ให้กลับไปบอกเจ้านายของทูตว่า อย่าคิดติดตามพระธิดาอีก ถ้ารักตัวกลัวตายก็ให้กลับลังกาเสีย
            ฝ่ายฝรั่งนายทหารที่เป็นทูตก็ลากลับไป สินสมุทก็ไปหาแม่เลี้ยง เล่าความให้ฟัง นางได้ฟังแล้วก็ตกใจ บอกว่าความฉาวแล้วคราวนี้
เมื่อปกปิดมิให้ผู้ใดแจ้ง มาพรายแพร่งเสียเพราะพ่อไม่พอที่
จะนิ่งไว้ในอุราว่าไม่ดี ความเช่นนี้หรือไปเล่าให้เขาฟัง
เขารู้แน่ว่าแม่ยังเป็นสาว จะว่ากล่าวลวนลามถึงความหลัง
ถ้าทราบถึงพระเจ้าอาก็น่าชัง ด้วยปิดบังมิได้บอกออกให้รู้
ถึงกระไรให้พบกับปิตุเรศ พระโปรดเกศก็จะได้ไม่อดสู
นี่พ่อมาบอกให้อ้ายศัตรู มันล่วงรู้ความลับน่าอับอาย
ฯลฯ
            สินสมุทได้ฟังแล้ว จึงพูดบ่ายเบี่ยงว่า เขาจะพาแม่ไปแต่งงาน ตนจึงเดือดดาลและว่าไปให้สาใจ แล้วได้พูดเป็นเชิงน้อยใจ นางสุวรรณมาลีจึงแกล้งพูดลองใจว่า จะไปอยู่กับลูกเจ้าลังกา สินสมุทก็พูดค่อนว่าเหน็บแนม ในที่สุดนางสุวรรณมาลีก็ชวนสินสมุท ออกมานั่งบัลลังก์นอก อันเป็นที่ออกว่าการ พอพระอามาถึง นางก็เชิญให้นั่งบัลลังก์รัตน์
            ฝ่ายนายทหารฝรั่งลังกา ก็มาเฝ้าอุศเรนทูลแจ้งว่า นายกำปั่นเป็นคนไทย อายุราวเก้าปี ได้บอกว่าชื่อ สินสมุท เป็นราชบุตรพระธิดา ตอนนี้นางก็อยู่บนเรือใหญ่นั้น พระเจ้ากรุงผลึกได้ประทานนางให้บิดาของตน
            อุศเรนรู้เรื่องแล้ว ก็เคืองแค้นยิ่งนัก คิดจะแก้เผ็ดศัตรู จึงถามว่าได้เห็นผัวของนางหรือไม่ อำมาตย์ทูลตอบว่า มิได้เห็นก็ยิ่งโกรธ บอกว่าจะจับเป็นแล่เนื้อเอาเกลือทา จากนั้นก็เชิญพระอภัยมณีมานั่งร่วมอาสน์ แล้วขอคำปรึกษา พระอภัยได้ยินชื่อสินสมุท ก็รู้ว่าเป็นบุตร แต่จะบอกไปตามจริงก็กริ่งใจว่า ถ้าไม่ใช่ลูกก็น่าอาย จึงคิดจะไปดูให้รู้แน่ จึงนิ่งนึกหาอุบายให้แยบแคบ แล้วจึงกล่าวห้าม
แต่นิ่งนึกตรึกตราหาอุบาย ให้แยบคายแล้วจึงห้ามตามโบราณ
เป็นไรมีที่ตรงเข้ายงยุทธ์ การบุรุษรู้สิ้นทุกถิ่นฐาน
อันแยบยลกลศึกสี่ประการ เป็นประธานที่ใฝ่กายของนายทัพ
ประการหนึ่งถึงจะโกรธพิโรธร้าย หักให้หายเหือดไปเหมือนไฟดับ
ค่อยคิดอ่านการศึกให้ลึกลับ แม้นจะจับก็ให้มั่นคั้นให้ตาย
อนึ่งว่าข้าศึกยังฮึกฮัก จะโหมหักเห็นไม่ได้ดังใจหมาย
สืบสังเกตเหตุผลกลอุบาย ดูแยบคายคาดทั้งกำลังพล
อนึ่งให้รู้รบที่หลบไล่ ทหารไม่เคยศึกต้องฝึกฝน
ทั้งถ้อยคำสำหรับบังคับคน  อย่าเวียนวนวาจาเหมือนงาช้าง
ประการหนึ่งซึ่งจะชนะศึก ต้องตรองตรึกยักย้ายได้หลายอย่าง
ดูท่วงทีกิริยาในท่าทาง อย่าละวางไว้ใจแก่ไพรี
ฯลฯ
            แล้วพระอภัย ก็ขออาสาเป่าปี่ห้ามปราบตามวิชา ให้ไพร่พลอ่อนใจ จากนั้นก็จะเรียนนายสลุปใหญ่ ให้มาหาจะได้ไต่ถามถึงพระธิดา
            อุศเรน เห็นด้วยตามคำของพระอภัย แล้วบอกว่าจะขอแต่พระธิดาแล้วจะได้กลับไปลังกา ไม่ต้องรบกัน
            จากนั้น พระอภัยก็เอาปี่มาเป่ามีเนื้อความไต่ถามความ แล้วบอกว่าถ้านางสุวรรณมาลีกับสินสมุทในเรือกำปั่นจริง ก็ขอให้มาหาตน
            อุศเรนกับทหารในกองทัพ ได้ยินเพลงปี่ก็หลับไป ส่วนพวกพ้องของพระอภัยเคยเข้าใจเรื่องนี้มาก่อน จึงพากันอุดหู ไม่ให้ได้ยินเพลงปี่ กองทัพสินสมุทแม้อยู่ห่างไกลออกไป เมื่อได้ยินเสียงเพลงปี่ ก็หลับไปบ้าง ฟังไปบ้าง


ตอนที่ ๑๙ พระอภัยมณี พบศรีสุวรรณกับสินสมุท


            ฝ่ายนางสุวรรณมาลีกับศรีสุวรรณ ที่อยู่บนเรือกำปั่นได้ฟังเสียงปี่พระอภัยก็จำได้ ด้วยเคยฟังมาก่อน รู้แน่ว่าเป็นพระอภัยขอให้ไปหา สินสมุทจึงขออาสาไปรับพระอภัยมาที่เรือ
            แต่สองกษัตริย์ตรัสห้ามไว้ว่า อุศเรนมีพระคุณกับบิดา ควรจะไปไต่ถามเขาก่อน อย่าให้ฝ่ายเขาว่าได้ จะเป็นที่ขัดข้องหมองใจ อาจเป็นศึกขึ้นมา ก็จะเสียทีเพราะพระอภัยอยู่กับเขา จึงขอให้สินสมุทอยู่กับน้อง และป้องกันแม่ไว้ แต่สินสมุทก็ไม่ยอมให้พระเจ้าอาไป ตนจะขอไปเองโดยจะไปไต่ถามแต่โดยดี ถ้าย่ำยีจึงจักสู้ดูฝีมือ แล้วสินสมุทก็กระโดดลงน้ำดำไป ศรีสุวรรณไม่ไว้ใจฝ่ายอุศเรน จึงสั่งการให้เตรียมเรือไว้สามสิบลำ ออกแล่นคอยดูอยู่ห่าง ๆ เอาไว้แก้ไขสถานการณ์
            สินสมุทดำน้ำมาถึงกำปั่นที่พระอภัยยังเป่าปี่อยู่ แล้วก็ปีนขึ้นกำปั่นไปเห็นพวกไพร่พลนอนหลับอยู่กลาดเกลื่อน ส่วนพวกที่ตื่นอยู่ก็เป็นพวกจีนจาม ที่เคยรู้จักมาก่อน จึงตรงเข้ากอดบาทพระบิดาแล้วร้องไห้
            พระอภัยเห็นลูกก็มีความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สงสารลูกจนสลบไป
            อุศเรนเห็นสินสมุท จึงถามพวกพระอภัยว่าเป็นใคร เขาทูลตอบว่าเป็นพระโอรส พระอภัยฟื้นขึ้นมาเห็นอุศเรนกับสินสมุท กับบรรดาพวกไพร่พลอยู่กันพร้อมหน้า  สินสมุทถามถึงความเป็นมาแต่หนหลัง พระอภัยก็เล่าความให้ฟังแล้วจึงตรัสถามความทางฝ่ายสินสมุท สินสมุทก็ทูลความให้ฟังทั้งหมด
            พระอภัยรู้ว่าพระอนุชามากับสินสมุทด้วยก็ชื่นชมยินดียิ่งนัก จึงตรัสบอกอุศเรนว่าสินสมุทเป็นบุตรของตน เมื่อเรือแตกได้แบกพระธิดามากลางน้ำ จนได้มากับเรือกำปั่น นับว่าเป็นเดชะบุญที่ไม่ต้องชิงนาง แล้วจึงเชิญอุศเรนไปยังเรือกำปั่นของลูก จะได้พบพระธิดา แล้วสอนให้สินสมุทไปกราบอุศเรน
            ฝ่ายอุศเรนรู้เรื่องแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก เรียกสินสมุทมานั่งเคียงข้าง บอกว่าจะไม่ลืมบุญคุณของสินสมุทไปจนวันตาย
จากนั้นก็เอาเครื่องทรงอย่างกษัตริย์มาให้สินสมุท แต่สินสมุทบอกว่าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ตนรักแต่แม่สุวรรณมาลี พระอภัยจึงกลบเกลื่อนว่าอย่าถือความ แล้วเชิญไปหาพระธิดา
            อุศเรนได้ฟังคำพระอภัยจึงค่อยคลาย แล้วสั่งไพร่พลเตรียมเดินทางไปพบพระธิดา

สั่งล้าต้าต้นหนคนทั้งปวง  ตามพระทรวงซ้ายขวาสิบห้าลำ
ทั้งลำทรงธงทองเป็นสองแถว เลิศแล้วลายหลังคาเลขาขำ
หัศเกนเจนปืนยืนประจำ เข้าเคียงลำกำปั่นใหญ่ดังใจจง
อุศเรนรื่นเริงบันเทิงจิต  เข้าสถิตเตียงทองที่ห้องสรง
ไขสุหร่ายปรายละอองมาต้ององค์ แล้วสอดทรงสนับเพลาเนาวรัตน์
ฉลององค์ทรงสวมกรวมสลับ ดุมประดับแต่ล้วนเพชรเจ็ดกะรัต
ปั้นเหน่งเนื่องเฟื่องกระหนกกระหนาบรัด  แล้วทรงทัดพระมหามาลาระบาย
แซมดอกไม้ไหวสว่างหางการเวก เป็นอย่างเอกอวดผู้หญิงหยิ่งใจหาย
ธำมรงค์ทรงหัตถ์จำรัสพราย พระกรซ้ายเกี่ยวผ้าเช็ดหน้ากรอง
สอดเสน่าเหน็บตรีกระบี่ถือ  สนับมือสอดใส่ไว้ทั้งสอง
ส่านจุหรี่สีกุหร่าดั่นหน้าทอง สอดฉลองพระบาทเพชรเสด็จมา
ฯลฯ
            เมื่อมาถึงเรือ ศรีสุวรรณมาต้อนรับทำความเคารพพระอภัย ส่วนนางสุวรรณมาลีหนีเข้าห้อง ทั้งสององค์ได้ไต่ถามความหลังกัน
            อุศเรนถามถึงนางสุวรรณมาลี สินสมุทได้ฟังก็ขัดเคืองบอกว่าแม่ของตนจะไม่ยอมให้แก่ใคร พระอภัยจึงตรัสปลอบว่า อุศเรนช่วยให้พระองค์ได้โดยสารเรือมา และเป็นผู้ที่ผูกรักอยู่กับนางสุวรรณมาลีมาแต่เดิม
            สินสมุทได้ฟังก็มีความแค้นแน่นใจ สุดคิดที่จะขัดขวางจึงเข้าไปหาพระธิดาแล้วร้องไห้ พระธิดาถามสินสมุทว่าทางอุศเรนพูดว่าอะไร และกลับไปหรือยัง  สินสมุทจึงถามพระธิดาว่ารักหรือชังอุศเรน แล้วบอกว่าตอนนี้เขาจะรับไปอภิเษก จะทิ้งตนไปหรืออย่างไร นางจึงตอบว่าถึงเขาสู่ขอแต่ก็ไม่เคยคุ้น แล้วย้อนถามสินสมุทว่า ตอนนี้จะยอมให้แม่ไปหรือ คงจะกลัวฝีมือเขาจึงเอาแต่ร้องไห้
            สินสมุทตอบว่าพระแม่ไม่เข้าใจตน ถึงจะมีศึกมากน้อยอย่างไรก็ไม่ถอย แต่แค้นใจพระบิดาที่รักอุศเรน จะให้พระแม่คืนไป ตนถึงถามใจพระแม่จะรักอุศเรน ตนก็จะไม่ขัดขืน
            นางสุวรรณมาลีได้ฟังก็แค้นคำพระอภัยที่มาทำเช่นนี้ทำให้อับอาย แล้วจึงบอกแก่สินสมุทว่าเรื่องมาถึงเช่นนี้แล้วก็ขอตาย
เสียดีกว่าอยู่ให้อัประมาณ แล้วนางก็ถอดธำมรงค์ของพระอภัยให้สินสมุท บอกให้เอากลับไปให้พระบิดา ตนจะขอลาตายแล้วชักกริชจะฆ่าตัวตาย  สินสมุทจึงเข้าแย่งยุดไว้แล้วเอากริชขว้างทิ้งไป บอกว่าแม้นว่าแค้นพระบิดา ลูกก็ยังมี จะไม่อาลัยเลยหรืออย่างไรนางสุวรรณมาลีจึงตอบว่า
     นางกอดบุตรสุดขืนสะอื้นไห้ เหลืออาลัยแล้วพ่อคุณของแม่เอ๋ย
เหมือนหญิงร้ายชายชังไม่หวังเชย จะแหงนเงยดูมนุษย์ก็สุดอาย
ถึงม้วยแล้วแก้วตาอย่าปรารภ จะขอพบสุดสวาทเหมือนมาดหมาย
ขอให้พ่อก่อเกิดกับร่างกาย  ได้กินสายกษิรามารดาเดียว
เจ้ารักแม่แม่ก็รู้อยู่ว่ารัก มิใช่จักลืมคุณทำฉุนเฉียว
แต่เหลืออายหลายสิ่งจริงจริงเจียว เป็นหญิงเดียวชายสองต้องหมองมัว
เมื่อแรกเราเล่าบอกเขาออกอื้อ อ้างเอาชื่อพระบิดาว่าเป็นผัว
ครั้นคู่เก่าเขามารับก็กลับกลัว แกล้งออกตัวให้มาถามว่าตามใจ
จึงเจ็บจิตคิดแค้นแม้นจะอยู่ ก็อดสูเสียสัตย์ต้องตัดษัย
กันแสงพรางทางสะอื้นขืนอาลัย พระชลนัยน์ไหลซาบอาบพักตรา ฯ
            สินสมุทสงสารแม่ยิ่งนัก แล้วกล่าวแก้แทนพระบิดาว่า ความจริงพระบิดาไม่รู้ว่าเรามาอ้างไว้อย่างนั้น จึงให้ถามไปตามซื่อ เมื่ออุศเรนไปแล้ว ตนจะต่อว่าพระบิดาให้ แล้วคืนแหวนให้นางสุวรรณมาลี ถ้ายังไม่รับและกลับกลายเป็นตน ก็จะทวงคืนสายสังวาลของนางสุวรรณมาลีคืน ขออยู่ตามประสาแม่ลูก แล้วเรียกให้นางอรุณรัศมีคอยอยู่เป็นเพื่อนป้าสะใภ้
            สินสมุทกลับออกมานั่งบัลลังก์นอก แล้วแกล้งบอกว่าแม่สุวรรณมาลีไม่อยากออกมา อุศเรนจึงกล่าวว่า เรื่องนี้บิดาเจ้าก็รู้อยู่เต็มจิต ว่าเราได้สู่ขอนางและผู้ใหญ่ก็ยกให้แล้ว นางสุวรรณมาลีจึงเป็นของเรา เราได้รับพระอภัยมาให้แก่สินสมุทแล้ว จึงชอบที่สินสมุทจะคืนนางมาให้ตน จึงจะต้องทำนองใน สินสมุทได้ฟังจึงตอบว่า
     สินสมุทพูดจาประสาเด็ก  ถึงเราเล็กก็ไม่ส่งอย่าสงสัย
รับบิดามาก็ช่างใครประไร หรือข้าใช้สอยเจ้าให้เอามา
เราติดตามปิตุรงค์ก็คงพบ ไม่รักคบคนนอกพระศาสนา
เจ้าเลิกทัพกลับหลังไปลังกา จะได้หาเมียงามเอาตามใจ
ที่ตรงนี้มิได้คืนอย่าขืนแค่น ถึงจะแสนโศกาน้ำตาไหล
ก็ตายเปล่าเราไม่ยักให้ใครไป อย่ากวนใจจู้จี้ข้าขี้คร้าน ฯ
            อุศเรนได้ฟังก็มีความโกรธยิ่งนัก แต่แกล้งกลั้นความโกรธไว้ แล้วตรัสกับพระอภัยว่า ตนกับพระอภัยได้ให้สัตย์ต่อกันจึงขอกัน ในฉันที่คุ้นเคยและรักพระอภัยเหมือนเชษฐาว่า พระอภัยก็รู้อยู่แก่ใจ จะเมตตาประการใด ขอให้แสดงออกมาด้วย
            พระอภัยได้ฟังก็อ้ำอึ่งตะลึงคิด จะคิดบิดเบือนก็ไม่เห็นทาง สงสารลูกเจ้าลังกา จึงกล่าวว่า ตนเหมือนช้างงางอก ไม่หลอกลวง แม้เลือดเนื้อของตนก็ยอมให้ได้ แต่ลูกเขาไม่ยอมเนื่องจากเขารักใคร่อาลัยกัน แล้วกล่าวกับลูกถึงบุญคุณของอุศเรน ซึ่งจะต้องรู้บุญคุณของเขา
อันรักษาศีลสัตย์กัตเวที  ย่อมเป็นที่สรรเสริญเจริญคน
ทรลักษณ์อกตัญญุตาเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน
ให้ทุกข์ร้อนวอนหวอทรพล พระเวทมนตร์เสื่อมคลายทำลายยศ
เพราะบิดามาด้วยอุศเรนนี้ คุณเขามีมากล้นพ้นกำหนด
เจ้าทำผิดก็เหมือนพ่อทรยศ จงออมอดเอ็นดูพ่อแต่พองาม ฯ
            จากนั้น ศรีสุวรรณก็ช่วยพูดจาอธิบายความ หาเหตุผลมาประกอบให้ชอบกล อุศเรนก็โต้ตอบกลับไปด้วยความเจนจัด แล้ววอนขอพระอภัยให้ช่วยขอด้วยว่าเป็นพ่อลูกกัน และอยากถามใจพระอภัยว่าถ้าตนกับสินสมุทบกัน พระอภัยจะช่วยใคร พระอภัยตอบว่า บุญคุณของอุศเรนนั้นมีมากยิ่งนัก แต่ก็สุดจะคิดเพราะลูกของตนเขาไม่กลัวใคร ถ้าแม้นต้องรบกัน ก็จะไม่ช่วยฝ่ายใด จะอยู่กับน้อง ถ้าลูกจะฆ่าน้องก็จะช่วยป้องกัน แต่ถ้าอุศเรนจะฆ่าลูกก็ไม่ว่าไร แต่ขอห้ามด้วยความอาลัยว่า การชิงชัยกับสินสมุทนั้น ก็ให้ยับยั้งไว้ก่อน เพราะสินสมุทนั้นเก่งกาจสารพัด และมีวิชาขลัง
            อุศเรนผู้เจนศึกไม่นึกกลัว แกล้งพูดจากเสียดแทงว่า ถ้าตนรบพุ่งได้ชัยชนะก็จะได้นางไป แล้วกลับมาเตรียมกองทัพเตรียมออกรบ
ฉวยรบพุ่งยุ่งยิ่งชิงไปได้ ก็อาลัยอยู่ด้วยนางจะห่างเห
สนิทแนบแยบคายช่างถ่ายเท เขียนจรเข้ขึ้นไว้หลอกตะคอกคน
เราก็ชายหมาดมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน
ไม่รักวอนงอนง้อทรชน แล้วพาพลกลับมาเภตราพลัน
ถึงกองทัพยับยั้งนั่งเก้าอี้ สั่งให้ตีกลองสัญญาโกลาลั่น
ร้องเรียกเรือฝรั่งมาทั้งนั้น แล้วแบ่งปันเป็นแพนกแยกนาวา
กองละร้อยคอยรบสมทบทัพ  เกณฑ์กำกับเกียกกายทั้งซ้ายขวา
ให้คอยล้อมพร้อมพรั่งดังสัญญา เห็นลมกล้าได้ที่ตีประดัง
ให้พวกเรือเหนือลมนั้นสมทบ เข้ารุกรบลำใหญ่เหมือนใจหวัง
แม้นขึ้นได้จุดไฟอย่าหยุดยั้ง แล้วกองหลังหนุนด้วยช่วยให้ทัน
ฯลฯ
ทั้งโยธากล้าหาญคอยราญรอน ใส่เสื้อซ้อนเกราะกระสันกันสาตรา
ทหารปืนยืนมองตามช่องกราบ ศรกำซาบแทรกรายทั้งซ้ายขวา
พร้อมทหารขานโห่เป็นโกลา ธงสัญญาโบกบอกให้ออกเรือ
กองละร้อยคอยรบไม่หลบหลีก ชักเป็นปีกกาไปทั้งใต้เหนือ
บ้างถือชุดจุดไฟไว้เป็นเชื้อ เข้าล้อมเรือลำใหญ่ระไวระวัง ฯ

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |