| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |

พลายงามได้นางศรีมาลา
ขุนแผนพลายงามเยี่ยมพระพิจิตร
 
ฝ่ายพระพิจิตรเจ้านางบุษบามีลูกสาวคนหนึ่งชื่อ นางศรีมาลา ก็ฝันเห็นดอกบัวและบ่าวได้ทำนายว่าจะได้คู่ครอง
ขุนแผนชวนพลายงามไปเยี่ยมพระพิจิตรที่จวน พระพิจิตรเห็นขุนแผนมาเยี่ยมก็ดีใจ  แล้วขุนแผนแนะนำว่าพลายงาม คือลูกของนางวันทอง รวมทั้งเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง  พระพิจิตรก็บอกว่าตนก็มีลูกสาวคนหนึ่ง  ถ้าหากเป็นผู้ชายก็อยากจะให้ไปทัพด้วย  แล้วได้เรียกนางศรีมาลามาไหว้ขุนแผน  พลายงามเมื่อเห็นนางศรีมาลาก็หลงรัก แล้วขุนแผนได้ถามถึงม้าสีหมอก  พระพิจิตรบอกว่า ม้าสีหมอกนั้นได้เลี้ยงดูอย่างดี 
ขุนแผนชวนพลายงามไปดูแล้วเสกหญ้าให้กิน  ม้าสีหมอกมองหานางวันทองไม่พบก็เสียใจจนน้ำตาคลอ  แต่เมื่อรู้ว่าจะได้ไปทัพกับขุนแผนอีกก็ดีใจ  แล้วขุนแผนจึงเด็ดยอดหญ้ามาเสกด้วย  พระเวทมุขใหญ่ป้อนให้กิน  ทำให้ม้าสีหมอกมีกำลังดังเดิม  ขุนแผนได้บอกกับพลายงามว่า  ฤกษ์เสาร์เก้าชั้นจะยกทัพไปแล้ว  พลายงามนึกอาลัยนางศรีมาลามากก็ทัดทานว่า  ไม่ควรรีบเดินทัพ  ควรจะพักเหนื่อยสักระยะหนึ่งก่อน  รวมทั้งตนจะปลุกเครื่องอีกสักครั้ง  ขุนแผนรู้ทันพลายงามจึงบอกว่า  พรุ่งนี้เป็นวันดีจะไปปลุกเครื่องในป่า

พลายงามเข้าเรือนศรีมาลา
คืนนั้นพลายงามคิดถึงแต่นางศรีมาลา เมื่อขุนแผนเข้านอนพลายงามก็เป่ามนต์สะกดให้ขุนแผนและทุกคนในจวนหลับ  แล้วสะเดาะกลอนเข้าไปหานางศรีมาลา พร้อมกับคลายมนต์สะกดเมื่อนางศรีมาลาตื่นขึ้นเห็นพลายงามก็ตกใจจนสลบไป  เมื่อพลายงามแก้ไขจนฟื้นปลอบประโลมให้คลายใจและได้นางเป็นเมีย พอรุ่งสางพลายงามออกมาจากห้อง   นางศรีมาลาพบขุนแผน ขุนแผนก็ต่อว่าพลายงามว่า ไม่ควรไปล่วงเกินลูกสาวผู้มีพระคุณ พลายงามจึงบอกว่าตนรักนางมาก  ขุนแผนจึงว่า เมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยไปถึงขั้นนี้  ก็อย่าทิ้งขว้างนางมิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย

ขุนแผนขอนางศรีมาลาให้พลายงาม
รุ่งขึ้น ขุนแผนก็ไปขอหมั้นนางศรีมาลาให้กับพลายงาม พระพิจิตรยอมยกให้ โดยบอกว่า เมื่อเสร็จศึกกลับมาแล้ว ในเดือนนี้จะจัดงานแต่งงานให้
เมื่อได้ฤกษ์ขุนแผนและพลายงามก็เดินทัพต่อ จนถึงเมืองพิษณุโลก แวะไหว้พระชินราช พระชินสีห์ ที่วัดมหาธาตุ แล้วไปสวรรคโลกผ่านป่าเขา  ทำให้พลายงามคิดถึงนางศรีมาลามาก
"ถ้าแม้นแก้วแววตามาด้วยพี่   จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา
คิดพลางเดินพลางตามทางมา ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร
แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน
โครมครึกกึกก้องท้องพนานต์ พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์
เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล บ้างเหมือนกลิ่นพู่ร้อยห้อยเรียงราย
ตรงตระพักเพิงผาศิลาเผิน ชะงักเงิ่นเงื้อมงอกชะแง้หงาย
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทะลาย เป็นวุ้งโว้งโพรงพรายดูลายพร้อย
บ้างเป็นยอดกอดก่ายตะเกะตะกะ ตะขรุตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ
บ้างงอกเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม บ้างโปปมเป็นปุ่มกะปุบกะปิบ
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลิบลิบ โล่งตลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์....."
"...แลดูหมู่วิหกนกนา   สาริกาพูดจ้ออยู่จอแจ
คุ่มขาบเขาขันสนั่นป่า กระสาจับกระสังส่งเสียงแซ่
กระลิงจับกิ่งประโลงแล คับแคไต่คางริมทางจร
ค้อนทองจับบนต้นกะถิน แก้วจับแก้วกินแล้วบินร่อน
นกยูงจับยางแผ่หางฟ้อน กะทุงทองจับกระท้อนทำอ่อนคอ
กระจาบจ้อยโจนจับกระเจาเจ่า แซงแซวเซาจับสนดูซอมซ่อ
นกกระไนไก่ฟ้าพญาลอ นกกรอดพลอดจ้ออยู่กิ่งจันทน์
นกเขาจับเงื้อมเขาแล้วเคล้าคู่ จู่หุกกูจู้ฮุกกูเฝ้าคูขัน..."
ขุนแผนพลายงามปรึกษาการศึก
 
เดินทางมา 14 วัน เมื่อใกล้ถึงเมืองเชียงใหม่ ขุนแผนปรึกษากับพลายงามว่าหากจะเข้า ไปตีเมืองเลยคงไม่ดี ด้วยมีพระนายท้ายน้ำและไพร่ไทยเป็นประกันอยู่  ควรจะลอบเข้าไปพาตัวออกมาก่อน และควรจะได้ปลอมตัวเป็นลาวเข้าไปเพื่อไม่ให้ใครสงสัย
มีลาวพ่อลูกปลูกบ้านอยู่ที่ไร่ชายป่า จะถึงที่ตายก็ให้หงุดหงิดชวนกันเข้าป่า มาถึงที่ขุนแผนกับพลายงามซ่อนตัว จึงถูกขุนแผนฆ่าตาย  แล้วขุนแผนได้ตัดเอาผมและทำเครื่องแต่งกายมาสวมใส่เพื่อปลอมตัว  แล้วยังได้ปลุกผีสองพ่อลูกมาสั่งว่า เมื่อจะเข้าเมืองจะให้ทั้งสองพาเข้าไป   จากนั้นก็กลับไปยังที่พัก พลไพร่ไทยเห็นขุนแผนและพลายงามก็นึกว่าเป็นลาว  เพราะปลอมตัวได้เหมือนมาก

ขุนแผนแก้พระท้ายน้ำ
พระท้ายน้ำติดคุก
รุ่งขึ้น ขุนแผนและพลายงาม ได้ปลอมตัวแบบลาว  แล้วให้ผีลาวพ่อลูกพาเข้าเมืองไปถามพวกแม่ค้า ถึงไพร่ไทยที่ถูกจับมาว่า ได้ข่าวว่ามีไทยถูกจับไว้อยู่ที่ไหนอยากจะเห็น  เมื่อรู้ว่าถูกขังอยู่ที่ไหนก็รีบเข้าไปจนถึงคุก  พบตาหลอกับตารักชาวไทยถูกจับ จึงได้นัดแนะให้ไปบอกพระนายท้ายน้ำและคนอื่น ๆ ให้รู้ว่า  จะเข้าไปช่วยในเวลาห้าทุ่ม ให้เตรียมตัวไว้ ส่วนตาหลอได้แนะว่า ก่อนจะถึงห้าทุ่ม ขุนแผนและพลายงามควรจะไปซ่อนตัวที่ กุฎิวัดหนังหลังคุกก่อน

แก้พระท้ายน้ำออกจากคุก
เมื่อถึงเวลาห้าทุ่มขุนแผนก็ไปคุกร่ายมนตร์สะกดผู้คุมและทุกคนจนหลับ แล้วสะเดาะกลอนเข้าไปและคลายมนต์  สะกดพวกไทยที่ในคุก  พร้อมกับเสกข้าวสารซัดจนเครื่องจองจำหลุดหมดทุกคนแล้วพากันหนีออกมา บางคนถูกขังคุกนานจนง่อยเปลี้ยเสียขา  ต้องเอาม้ามาขี่หนี
รุ่งเช้า ผู้คุมลาวเข้าไปเบิกคนโทษมาทำงาน พบว่านักโทษไทยหนีไปหมด  แล้วไทยได้เขียนหนังสือบอกไว้  จึงรีบเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเชียงใหม่ เมื่อพระเจ้าเชียงใหม่รู้ว่า  พระพันวษาแห่งศรีอยุธยาสั่งให้ขุนแผนกับพลายงามนำทหารสามสิบห้ามาทำศึก  เพราะเชียงใหม่ไปชิงตัวนางสร้อยทองมา  หากรักตัวกลัวตายให้ส่งนางสร้อยทองคืน และขอโทษยอมรับว่ากลัวตายจะยกโทษให้

พระเจ้าเชียงใหม่ให้เตรียมทัพ
พระเจ้าเชียงใหม่ฟังแล้วแค้นใจและโกรธส่งทหารไปสืบ  เมื่อรู้ว่าพักพลอยู่แถวบึงใหญ่  ก็ให้ท้าวกรุงกาฬและแสนตรีเพชรกล้า คุมทัพไปจับตัวมาทั้งหมด
ฝ่ายแสนตรีเพชรกล้า  เมื่อได้รับคำสั่งให้เป็นแม่ทัพยกไปรบกับทัพไทย ก็ปลุกเศกเครื่องและวิชา  พร้อมกับเสกน้ำอธิษฐาน
"...ถ้าจะเกิดอันตรายวายชีวิต   ในนิมิตน้ำแดงเป็นแสงฝาง
ถ้าไม่ชนะไม่แพ้แต่ปานกลาง น้ำเป็นอย่างสีรงลงละลาย
ถ้าจะไปมีชัยแก่ข้าศึก น้ำเลื่อมดังผลึกวิเชียรฉาย..."
เมื่ออธิษฐานน้ำกลายเป็นสีแดง ก็รู้ว่าชะตาตนจะถึงฆาตก็ให้นึกกลัว ส่วนท้าวกรุงกาฬเมื่อจะขึ้นขี่ช้างก็เกิดลางร้าย เห็นรูปนิมิตเป็นคนหัวขาด  ก็รู้ว่าจะต้องตายเช่นกัน


| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |