| หน้าแรก | ย้อนกลับ| หน้าต่อไป |

ทูตล้านช้างถึงโคราช
อำมาตย์เมืองล้านช้างนำเครื่องบรรณาการและแผ่นทองจารึกเดินทางข้ามเรือไปถึงท่าใหญ่  แล้วขึ้นม้าต่อไปถึงบ้านด่าน  ไปหาชาวบ้านด่าน  จมื่นไวยบอกเรื่องราชสาส์น  ชาวบ้านด่านก็พามาหาเจ้าเมืองโคราช  เจ้าเมืองโคราชจึงให้คนถือสาส์นมายังศรีอยุธยา  โดยเดินทางผ่านสูงเนิน  โคกพญา  ตัดเข้าดงพญาไฟ  ห้าคืนถึงแก่งคอย  ใช้เวลา หก  วันเจ็ดคืนจึงจะถึงอยุธยา  ฝ่ายพระพันวษาได้เสด็จออกขุนนางเป็นปกติ  เจ้าพระยาราชสีห์ได้กราบทูลว่า มีคนบอกมาจากโคราชว่า  ขณะนี้มีพวกลาวถือพระราชสาส์นถวายลูกสาวมาจากพระเจ้าล้านช้าง พร้อมเครื่องราชบรรณาการ และให้รออยู่ที่เมืองโคราช  สมเด็จพระพันวษาจึงตรัสหารือบรรดาข้าราชการ
"ผินพระพักตร์ตรัสปรึกษาเสนาพลัน   พร้อมกันจะเห็นประการใด
ต่างเมืองเขามาถวายนาง จะเห็นจริงอยู่บ้างฤาหาไม่
ฤากลศึกนึกแหนงควรแคลงใจ ใครเห็นอย่างไรให้ว่ามา
บรรดาข้าราชการทูลว่า ที่ล้านช้างถวายลูกสาวมาครั้งนี้คงจะหวังพึ่งบารมีควรจะไปรับมา  พระพันวษาจึงตรัสสั่งให้ตำรวจใน ไปรับราชฑูตมาจากเมืองโคราช  และในพระราชสาส์นนั้นกราบทูลว่า  ขอถวายลูกสาวเป็นข้าพระบาท แต่ตัวนางยังไม่ได้ส่งมาเพราะไม่ไว้ใจในระหว่างการเดินทาง  ขอให้พระองค์ส่งทหารมารับตัวในภายหลัง  ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นกลลวงแต่อย่างใด

รับฑูตล้านช้าง
พระพันวษาได้ตรัสสั่งให้กรมวังเตรียมการรับแขกเมืองและเครื่องราชบรรณาการในวังตามประเพณี
"เบิกธนูโล่ห์เขนง้าวทวน   ตามกระบวนกลาบาตซ้ายขวา....
....เหล่าทหารถ้วนมือถืออาวุธ ครบสิ่งสรรพยุทธหลายหลั่น....
แน่นเนืองเป็นขนัดถัดกัน จัดสรรตามขนบธรรมเนียมมา
เหล่าหนึ่งถือธนูอยู่เป็นพวก นุ่งกางเกงใส่หมวกเกี้ยวผ้า
ล้อมวังถือดั้งนั่งเนื่องมา บ้างถือดาบพาดบ่าเกี้ยวผ้าลาย
เหล่าทวนถือทวนดูสันทัด เกณฑ์หัดถือปืนก็มากหลาย
เสื้อแดงหมวกแดงแต่งกาย บ้างถือเขนนั่งรายล้วนตัวดี
เกณฑ์หัดอย่างฝรั่งนั่งเป็นพวก ใส่เสื้อใส่หมวกอยู่ตามที่
ถือปืนปลายหอกทุกบอกมี ตัวดีแม่นยำทำท่าทาง"
เมื่อเสด็จออกนั่งท้องพระโรง  ได้ตรัสถามราชฑูตว่า
"กี่วันจึงถึงพระพารา   มรรคายากง่ายประการใด
อนึ่งกรุงนาคบุรี ข้าวกล้านาดีฤาไฉน
ฤาฝนแล้งข้าวแพงมีไภย ศึกเสือเหนือใต้สงบดี
ทั้งองค์พระเจ้าเวียงจันท์ ทรงธรรม์เป็นสุขเกษมศรี
ไม่มีโรคายายี อยู่ดีฤาอย่างไรในเวียงจันท์"
แล้วก็พระราชทานเสื้อผ้าแพรอย่างดีแก่ราชฑูต  และจัดขบวนทัพส่งราชบรรณาการไปให้พระเจ้าล้านช้าง แล้วให้รับนางสร้อยทองมา  พระท้ายน้ำจึงจัดทัพมารับ

พระเจ้าเชียงใหม่ชิงนางสร้อยทอง
ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่นั้นคิดว่าได้ส่งราชสาส์นและบรรณาการไปให้พระเจ้าล้านช้างแล้วไม่เห็นว่าอย่างไร  บรรณาการที่ให้ไปก็ส่งคืนมาน่าจะมีลับลมคมใน  จึงสั่งให้มหาชาดไปสืบข่าวที่เวียงจันทน์
ฝ่ายมหาปาด  เมื่อรับสั่งแล้วก็เดินทางโดยม้าดั้นด้นมาจนถึงแดนเวียงจันทน์  เมื่อผ่านมาทางบ้านพวกละว้าก็รู้ข่าวว่า จะมีชาวอยุธยามาเวียงจันทน์ มหาปาดก็ปลอมตัวโดยแต่งกายคล้ายคนไทย เข้าไปในเวียงจันทน์เที่ยวฟังข่าว ก็รู้ว่าทัพไทยจะขึ้นมารับพระธิดาพระเจ้าล้านช้างไปเป็นมเหสี อีกสิบห้าวันจะออกเดินทางไปอยุธยา จึงรีบเดินทางกลับมายังเชียงใหม่ ทูลเรื่องราวแก่พระเจ้าพิไชย
พระเจ้าพิไชย เมืองเชียงใหม่ได้ฟังก็โกรธมาก สั่งให้จัดทัพห้าแสนคนไปตีเมืองล้านช้าง ฆ่าให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่ต้นหญ้า

พระเจ้าเชียงใหม่ให้แสนตรีเพ็ชรยกทัพไปดักทาง
 
อุปราชพระยาแมน ทูลว่าล้านช้างนั้นไกลมากกว่าจะเดินทางไปถึง นางสร้อยทองก็คงไปอยุธยาแล้ว หากจะได้นางมาก็ควรยกทัพไปดักกลางทาง พระเจ้าพิไชยเห็นด้วย ก็รับสั่งให้แสนตรีเพ็ชรยกทัพไปล้อมจับตัวนางสร้อยทองมา และอย่าฆ่าฟันไพร่พลของศัตรู
ตรีเพชรกล้าคุมทัพทหารที่เก่งมีวิชาดี อยู่ยงคงกระพันห้าพัน พร้อมอาวุธปืนไฟ หน้าไม้ทวน เดินทัพตัดป่าไปทางภูเวียง และพักทัพดักซุ่มอยู่เชิงเขา

ส่งนางสร้อยทองไปอยุธยา
เมื่อถึงเวลาเดินทางไปอยุธยา พระเจ้าล้านช้างกับพระมเหสีเกสร ก็ให้พี่เลี้ยงสี่คนไปกับนางสร้อยทอง แล้วพระนางเกสรก็จัดแจงแต่งกายนางสร้อยทองอย่างนางกษัตริย์ แล้วส่งนางเดินทางไปอยุธยา
"กระหมวดมุ่นมวยอย่างนางกษัตริย์   ปักปิ่นเพชรรัตน์จำรัสศรี
แล้วแซมช่อบุปผามาลี ทรงกุณฑลมณีมีราคา
ภูษาซิ่นยกกนกทอง สะไบกรองเนื้อนุ่มคลุมอังสา
สร้อยสอิ้งสังวาลตระการตา ทองกรซ้ายขวาหาพุรัด
คาดสายเข็มขัดรัดพระองค ธำมรงค์ทรงทั้งสองพระหัตถ์..."
แสนตรีเพ็ชรส่งนางสร้อยทองไปเชียงใหม่
ฝ่ายแสนตรีเพ็ชรกล้าที่ซุ่มทัพอยู่เชิงเขาในป่า และพวกสอดแนมมาบอกข่าวว่า ทัพลาวไทยกับนางสร้อยทองพักอยู่ที่ปางคา พอตกค่ำแสนตรีเพ็ชรกล้า ก็พาไพร่พลไปอยู่ใกล้แล้วเป่ามนตร์ ให้เกิดฟ้ามืดมัวมีพายุ แล้วก็เข้าล้อม ทัพไทยลาวมองไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหน วุ่นวายไปทั้งกองทัพ แสนตรีเพ็ชรกล้าจึงสั่งให้ไพร่พลจับตัวไว้ได้ทุกคน เว้นนางสร้อยทอง ที่อยู่ในพลับพลาแสนตรีเพ็ชรจึงคลายมนตร์จนฟ้าสว่าง แล้วพาทหารเข้าไปในพลับพลา ทูลว่าพระเจ้าพิไชยเจ้าเมืองเชียงใหม่ให้มาเชิญไปเมืองเชียงใหม่ อย่าได้ตกใจ แล้วแสนตรีเพ็ชรกล้าก็นำเชลย และพระท้ายน้ำนางสร้อยทอง เข้าไปเฝ้าพระเจ้าพิไชยเจ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระเจ้าพิไชยเห็นนางสร้อยทอง ก็นึกรักให้จัดตำหนักทองสองหลัง ทรัพย์สมบัติและข้าไทให้นาง แล้วคิดว่าการที่นำนางมานี้ ทางอยุธยาจะโกรธ อาจยกทัพควรคิดเรื่องการศึกเสียก่อน

พลายงามอาสา
พระเจ้าเชียงใหม่หาอุบายสู้ศึกไทย
นับแต่พระเจ้าพิไชยเมืองเชียงใหม่ได้นางสร้อยทองมาแล้ว  ก็ทรงหนักใจว่าทั้งล้านช้างและกรุงศรีอยุธยาต้องโกรธแล้วยกทัพตี  หากจะมาในเวลาเดียวกัน เชียงใหม่จะต้องพบศึกหนัก  ควรจะชิงตีไทยให้พ่ายแพ้ไปก่อนล้านช้างก็คงไม่กล้ายกมา  จึงปรึกษาเหล่าเสนาว่าควรจะทำอย่างไร  พระยาท้าวแสนหลวงเสนาใหญ่ทูลว่า  ควรจะส่งสาส์นไปยั่วให้ไทยโกรธ  ยกทัพมาโดยเร็ว  แล้วหักศึกไทยก่อนที่ทั้งสองทัพจะรวมกันได้  พระเจ้าเชียงใหม่เห็นด้วยได้ให้แสนตรีเพชรกล้านำสาส์นไปให้พระพันวษา

พระยาจักรีทูลสาส์นเชียงใหม่
ฝ่ายพระพันวษาเมื่อเสด็จออกขุนนาง พระยาจักรีได้กราบบังคมทูลว่า เชียงใหม่มีราชสาส์นมาแจ้งว่า ทัพเชียงใหม่ได้ชิงตัวนางสร้อยทองไปแล้ว  ด้วยพระเจ้าเชียงใหม่ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีแสนยานุภาพมาก  ได้เคยส่งราชทูตถือราชสาส์นไปขอนางสร้อยทอง  แต่ด้วยนางยังเยาว์จึงยังไม่ได้นำมาครอง แต่พระท้ายน้ำกับพวกไพร่ขังคุกไว้  แต่ยังไม่ได้ฆ่า หากพระพันวษาต้องการตัวนางคืนก็ให้ยกทัพมาสู้กันใครชนะจะได้นางไปครอง  จะให้เวลาภายในสามเดือนหากไม่มาก็จะฆ่าให้หมด  หรือหากกลัวก็ให้บอกมา  เมื่อพระพันวษาได้ฟังสาส์นก็ทรงพิโรธมาก  ตรัสว่าพระเจ้าเชียงใหม่กำเริบมาก  เหมือนกับลูกกวางมาท้าสู้กับราชสีห์  ทั้งนี้ตัวมีกำลังเท่าหยิบมือ  อีกสามวันจะยกทัพไปเชียงใหม่หากตีไม่ได้ก็จะไม่กลับ  รวมทั้งให้เกณฑ์หัวเมืองชั้นใหญ่น้อยไปร่วมตีเชียงใหม่ด้วย  และเมื่อตีได้แล้วให้ฆ่าคนทั้งหมด  แล้วรื้อกำแพงป้อมปราการให้สิ้น

เสนาบดีทูลขอให้หาผู้อาสา
ฝ่านเสนาน้อยใหญ่ก็กราบทูลเตือนพระสติว่า เมืองเชียงใหม่นั้นก็มีอยู่เท่านั้น  ไม่ควรเสด็จไปรบเองเพราะจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศไปเปล่า ๆ ควรจะไว้พระยศให้เหมือนกับครั้งที่พระรามให้หนุมานไปตีลงกา  ผลที่สุดก็ได้พระนางสีดาคืนมา  เมื่อสมเด็จพระพันวษาได้ฟังเหล่าเสนาก็คิดได้ ตรัสถามว่า ใครจะอาสาไปทัพ  แต่ทุกคนนิ่งเงียบหาคนอาสาไม่ได้ ก็ทรงพิโรธ
" ดีแต่ฉ้อไพร่ไพล่เงินกิน   ปลอกปลิ้นลิ้นลมประสมประสาน
เลี้ยงเสียเบี้ยหวัดไม่ต้องการ มีศฤงคารยศศักดิ์หนักแผ่นดิน"
พลายงามขอให้จมื่นศรีนำอาสา
พลายงามนั้นได้อาศัยกับกับหมื่นศรีมานาน ได้ฝึกวิชาอาคมไปเรื่อยมีความเชี่ยวชาญมาก  คิดอยากจะไปทัพเพื่อใช้วิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา  เมื่อรู้ว่าอยุธยากำลังมีศึก  ก็เห็นว่าเป็นทีของตนที่จะได้แสดงฝีมือแล้ว  จะไปขอให้จมื่นศรีไปกราบทูลให้ตนได้อาสาไปทัพ  และถ้าหากมีช่องทางก็ได้ทูลขออภัยโทษให้ขุนแผนผู้เป็นพ่อ
" สะอื้นพลางทางคิดถึงพระคุณ   เดชะความสัตยอธิษฐาน
ข้าพเจ้าจะดำริตริการ คิดอ่านขอโทษให้บิดา
ขอให้ได้สมอารมณ์คิด อย่าให้ผิดมุ่งมาดปราถนา"
เมื่อได้โอกาสก็เข้าไปหาจมื่นศรี พร้อมกับร่ายพระเวทย์ให้มีเมตตาแล้วถามว่า  เรื่องอะไรที่ทำให้จมื่นศรีไม่สบายใจ  จมื่นศรีบอกว่า พระพันวษาทรงกริ้วที่ไม่มีใครอาสาไปทัพ  พลายงามได้ขอให้จมื่นศรีไปกราบทูลขอให้ตนไปทัพ  แต่จมื่นศรีทัดทานว่า  พลายงามนั้นถึงแม้จะเป็นลูกขุนแผนที่มีวิชาอาคมเก่งกล้า ก็ยังเป็นเด็ก วิชาความรู้ก็ไม่มี ควรคิดดูให้ดีหากทำไม่ได้ก็จะทำให้ทรงพิโรธไปกว่านี้
พลายงามจึงทดลองวิชาโดยหายตัวและแปลงกายเป็นเสือโคร่งให้จมื่นศรีดู  จมื่นศรีเห็นความสามารถก็พอใจ

พลายงามทูลขอโทษขุนแผน
 
รุ่งขึ้น จมื่นศรีได้พาพลายงามไปเข้าเฝ้า  แล้วทูลว่า พลายงามเป็นลูกขุนแผน และได้เรียนวิชาอาคมมาอย่างเชี่ยวชาญ จะขออาสาออกรบ  เมื่อพระพันวษาให้พาตัวมาเข้าเฝ้า  พลายงามได้ร่ายเวทย์ให้ ทรงเมตตาทำให้พระองค์ทรงรักใคร่  ได้ตรัสถามว่า จะไปทัพได้หรือไม่  หากไปแล้วรบชนะจะปูนบำเหน็จให้  พลายงามกราบทูลขอรับอาสาไปรบกับเชียงใหม่ และจะจับตัวกลับมาถวายให้ได้ แต่หากตนได้ไปร่วมรบกับขุนแผนผู้บิดาด้วยแล้ว จะดีมากกว่านี้  
พระพันวษาจึงสั่งให้พระยายมไปถอดขุนแผนมา แล้วตรัสกับขุนแผนว่า พลายงามได้มาทูลขอให้ไปทัพที่เมืองเชียงใหม่ด้วย  ที่ถูกขังอยู่หลายปีนั้นไม่ได้เป็นเพราะพระองค์เกลียดชังหรือแค้นเคือง แต่ทรงลืมไป
ฝ่ายขุนแผนได้ฟังก็กราบทูลว่า ตนจะขออาสาไปรบกับพลายงามแล้วไม่ต้องการไพร่พลมากมาย  ขอแต่ไพร่มาหาบเสบียงอาหาร และขอไพร่นักโทษในคุกที่มีวิชาสามสิบห้าคนเท่านั้น
พระพันวษาได้ฟังจึงตรัสว่า เมืองเชียงใหม่นั้นมีไพร่พลมากมาย การที่จะเอาไพร่ไปเพียงเท่านี้อาจจะแพ้กลับมาได้ แล้วขอให้ไพร่ที่เป็นนักโทษสามสิบห้าคนมาประลองวิชาให้ดูในวันมะรืน

ขุนแผนกับนางแก้วกิริยามาอยู่บ้านจมื่นศรี
ฝ่ายนางแก้วกิริยานั้นได้มาอยู่กับขุนแผนที่กระท่อมหน้าหับเผย ตั้งแต่ติดคุกและนางได้ตั้งท้องสิบเดือนแล้ว  เมื่อรู้ว่า ขุนแผนพ้นโทษก็ตามมาหาขุนแผนที่บ้านจมื่นศรี  จมื่นศรีบอกว่า ขุนแผนจะไปทัพให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่  ส่วนขุนแผนนั้นบอกกับจมื่นศรีว่า ตนอาสาจะไปทัพแต่ห่วงนางทองประศรีผู้เป็นแม่ที่กาญจนบุรี  เมื่อตนและพลายงามไปทัพก็คิดถึงลูกหลาน อยากให้ไปรับมาอยู่เสียด้วยกันที่นี่  จมื่นศรีรับเป็นธุระให้
พระพันวษาปล่อยนางลาวทอง
ในวังนั้น สมเด็จพระพันวษาให้ลาวทองมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า  ขุนแผนพ้นโทษไปแล้ว  เพราะพลายงามลูกขุนแผนอาสาไปทัพ  และขอให้ขุนแผนไปช่วย ส่วนนางลาวทองนั้นได้มาทรมานอยู่ในวัง ปักสะดึงกรึงไหมมากว่าสิบปีแล้วก็จะยกโทษให้  นางลาวทองดีใจมากเมื่อพ้นโทษแล้วก็ไปหาขุนแผนที่บ้านจมื่นศรี  ครั้งแรกจำขุนแผนไม่ได้ เมื่อขุนแผนทักก็จำได้  แล้วขุนแผนแนะนำให้นางลาวทองรู้จักกับพลายงามและนางแก้วกิริยา

ขุนแผนพลายงามกับพวกอาสาลองวิชาถวาย
ฝ่ายพระพันวษาเมื่อได้ดูการลองวิชาแล้วก็ชื่นชมมาก ตรัสชมขุนแผนและพลายงามว่า  พ่อลูกมีวิชาอาคมเท่าเทียมกัน ข้าศึกคงสู่ไม่ได้ จากนั้นก็ประทานเสื้อผ้าอาหาร เงินทอง แล้วให้โหรดูฤกษ์ยามที่จะเคลื่อนทัพ ซึ่งจะต้องเดินทัพในวันขึ้นเจ็ดค่ำ สี่โมงเช้าเก้านาที
" แล้วจึงตรัสสั่งคลังวิเศษ   ให้จัดเสื่อโหมดเทศอย่างก้านแย่ง
แพรจีนดวงพุดตาลส่านสีแดง ทั้งสมปักตามตำแหน่งขุนนางใน
....ให้คลังมหาสมบัติจัดเงินตรา ห้าชั่งเอามาประทานให้...."
สมเด็จพระพันวษาจึงให้โหรหาฤกษ์ยกทัพ
พระโหราหาฤกษ์แล้วทูลพลัน   ขึ้นเจ็ดค่ำนั้นเป็นเศษห้า
ได้ฤกษ์เบิกพยุหเสนา เวลาสี่โมงเช้าเก้านาที
ปลอดทั้งผีหลวงห่วงวัน ยามนั้นได้เมื่อพระฤาษี
แค้นขัดมัดมือลิงกาลี จะไปตีบ้านเมืองย่อมมีไชย"
ขุนแผนพลายงามลานางทองประศรี
ฝ่ายนางทองประศรีเมื่อมาถึงบ้านจมื่นศรี ได้พบขุนแผนก็ดีใจมาก  แล้วได้ขอบใจนางแก้วกิริยา ที่ไม่ทิ้งขุนแผน  ทั้งได้บอกให้นางแก้วกิริยาและนางลาวทองปรองดองกัน และอวยชัยให้พรขุนแผนกับพลายงาม ให้พบกับความสุขตลอดไป
" อย่าประมาทอาจหาญการสู้รบ   ขุนไกรปู่นั้นแต่หนุ่มคุ้มพันหัก
แกมิได้หมิ่นศึกทำฮึกฮัก เบาหนักตรองดูให้รู้ความ
อนึ่งพวกไพร่พลที่ไปด้วย ใครเดือดร้อนผ่อนช่วยอย่าหยาบหยาม
อุตส่าห์เอาอกเอาใจให้งดงาม ไปรบพุ่งเหมือนตามกันเป็นตาย
ถ้าใจเดียวเกลียวกลมกันหนึ่งแน่ ถึงน้อยก็ไม่แพ้ที่มากหลาย
ท่านว่าป่าพึ่งเสือเรือพึ่งพาย เราเป็นนายก็ต้องพึ่งซึ่งไพร่พล
ขุนแผนประชุมพล
ขุนแผนกับพลายงามได้ปรึกษากันว่า ก่อนจะไปทัพควรจะได้ปลุกเสกเครื่องให้มีฤทธิ์มากขึ้น  ก็ชวนกันไปที่ป่าช้าทำพิธีจนเสร็จ แล้วแจกอาวุธแก่ไพร่ทหารโดยใครถนัดอย่างใดก็เอาอย่างนั้นไปใช้
" ศาสตราอาวุธจงเลือกใช้   ใครถนัดอย่าไหนเอาไปพลัน
บางคนฉวยดาบชักวาบวูบ ที่บางคนก็จับเอากั้นหยั่น
บ้างเข้ามาคว้าปืนถือยืนยัน บางคนนั้นร้องบอกขอหอกยาว
อ้ายเฉยว่าฉันเคยแต่ไม้พลอง อ้ายมาว่าฉันคล่องก็เพลงหลาว
อ้ายเพ็ดว่าพร้าก็พอกับคอลาว อ้ายทิศสาคว้าง้าวออกลองรำ.."
เมื่อถึงวันเคลื่อนทัพขุนแผนกับพลายงามไปเตรียมทัพที่ตำบลวัดใหม่ไชยชุมพล
ครั้นจัดเสด็จเรียบร้อยคอยเวลา   โหราเหยียบเงาเอาชั้นฉาย
พอถ้วนนาทีสี่โมงปลาย ถึงฤกษ์จะขยายกระบวนพล
เมื่อถึงฤกษ์เคลื่อนทัพออกไป นางแก้วกิริยาท้องแก่มากแล้วก็เจ็บท้องแล้วคลอดลูกเป็นผู้ชาย ตรงกับฤกษ์กรีฑาทัพจึงให้ชื่อว่าพลายชุมพลรณรงค์
ฝ่ายขุนแผนเมื่อเคลื่อนทัพไปถึงป่าที่พิจิตร ซึ่งได้นำดาบฟ้าฟื้นฝังไว้  ตั้งแต่ครั้งไปขอพระพิจิตรส่งตัวกลับอยุธยา  เมื่อขุดดาบได้ขุนแผนบอกพลายงามว่า วันหน้าจะยกดาบนี้ให้  ได้เดินทัพผ่านลพบุรี  บางขาม  บ้านด่านโพธิไชย  อู่ตะเภา  ภูเขาทอง  หนองบัว  และพักทัพที่ทุ่งหลวง เมืองพิจิตร  พลายงามได้นอนหลับและฝันเห็นผู้หญิงสาว  ขุนแผนทำนายว่าจะได้เมียดี หรืออาจเป็นลูกสาวเจ้าเมืองก็ได้


| หน้าแรก | ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |