| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |


อนุสาวรีย์กรณีพิพาทอินโดจีน
นับตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ประเทศไทยต้อง เสียดินแดนให้แก่อังกฤษและฝรั่งเศสไปหลายครั้งเพื่อรักษาเอกราช และดินแดนส่วนใหญ่ไว้
ในระยะเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่มียุทธภูมิอยู่ในทวีปยุโรปประเทศไทยกับฝรั่งเศส ได้ลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน เมื่อ ๑๒ มิ.ย.๘๓ แต่ยังไม่ได้แลกเปลี่ยนสัตยาบันกันฝรั่งเศษได้ขอให้สนธิสัญญานี้มีผลบังคับ ใช้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนสัตยาบันเพื่อประโยชน์ของฝรั่งเศสเอง
รัฐบาลไทย โดยนายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตอบตกลงแต่มีเงื่อนไขว่าฝรั่งเศสจะต้องยอมรับข้อเสนอของไทย ๓ ประการ คือ
ข้อ ๑ ขอให้มีการกำหนดเส้นเขตแดนไทยตามลำแม่น้ำโขงตามหลัก กฎหมายระหว่างประเทศ โดยการถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน
ข้อ ๒ ให้ปรับปรุงเส้นเขตแดงให้เป็นไปตามธรรมชาติโดยถือแม่น้ำโขง เป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือสุดจนจรดทิศใต้ถึงเขตกัมพูชา ให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงข้ามหลวงพระบาง และตรงข้ามปากเซกลับคืนมาเป็นของไทย อย่างเดิม
ข้อ ๓ ให้ฝรั่งเศสรับรองว่าเมื่อฝรั่งเศสไม่ได้ปกครองอินโดจีนแล้วให้คืนลาวและกัมพูชา กลับคืนมาให้ไทยฝรั่งเศสปฏิเสธข้อเสนอของไทย ไทยจึงได้จัดกำลังเตรียมการ ดังนี้
กองทัพบกสนาม มีนายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นแม่ทัพ นายพันเอกหลวงพรหม โยธี เป็นรองแม่ทัพ นายพันเอกเกรียงศักดิ์ พิชิต เป็นผู้ช่วยแม่ทัพและนายพันเอกหลวงวิชิตสงคราม เป็นเสนาธิการกองทัพ กองทัพบกสนามนี้ประกอบด้วย กองทัพบูรพา กองทัพอีสาน กองพลพายัพ กองพลผสมปักษ์ใต้ และกองพลผสมกรุงเทพ ฯ
กองทัพบูรพา มีนายพันเอกเอกหลวงพรหมโยธี เป็นแม่ทัพ นายพันเอกหลวงเสรี เริงฤทธิ์ และนายพันเอกหลวงไพรี ระย่อเดช เป็นรองแม่ทัพ นายพันโทหลวงบูรณสงคราม เป็นเสนาธิการกำลัง ประกอบด้วยกองพลผสมปราจีณ (กองพลวัฒนาและกองพลลพบุรี) กองพลผสมอรัญ (กองพลพระนคร) กองพลจันทบุรีและกองหนุนบูรพา ได้รับภารกิจให้เข้าตีอินโดจีนทางด้านเขมร



อนุสาวรีย์วีรไทย
ณ กองบัญชาการ กองทัพภาคที่ 3 จ.พิษณุโลก

อนุสาวรีย์ทหารผ่านศึกในราชการสงคราม
ณ หน้าค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์


กองทัพอีสาน มีนายพันเอกหลวงเกรียงศักดิ์ พิชิต เป็นแม่ทัพ นายพันเอกหลวงชำนาญ ยุทธศิลป์ และนายพันโทขุนปลด ปรปักษ์ เป็นรองแม่ทัพ นายพันโทหลวง เดชประดิยุทธ เป็นเสนาธิการกำลัง ประกอบด้วย กองพลอุดร กองพลสุรินทร์ กองพลอุบลและกองหนุนอีสาน ได้รับภารกิจให้เข้าตีอินโดจีนด้านลาว (ที่ปากเซ และจำปาศักดิ์)
กองพลพายัพ มีนายพันโทหลวงหาญ สงคราม เป็นผู้บัญชาการกองพล นายพันโทขุนเรือง วีรยุทธ เป็นรอง ๑ นายพันโทหลวงสุทธิ สารรณกร เป็นเสนาธิการกำลัง ประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๒๘ นครสวรรค์ กองพันทหารราบที่ ๒๙ พิษณุโลก กองทัพทหารราบที่ ๓๐ ลำปาง และกองทัพทหารราบที่ ๓๑ เชียงใหม่
ในกรณีพิพาทอินโดจีน ทหารไทยได้ประกอบวีรกรรมเป็นจำนวนมากที่สำคัญและได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย มากที่สุด คือ การรบที่ห้วยยางตำบลบ้านพร้าวในเขตเขมร โดยกองพันทหารราบที่ ๓ พระนคร (ปัจจุบัน คือ กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ (รักษาพระองค์) สังกัดกองพลพระนคร ในกองพันผสมอรัญ ในกองทัพบูรพาจนได้รับสมญานามว่า กองทัพทหารเสือ
๒๘ พ.ย.๘๗ ฝรั่งเศสได้ส่งเครื่องบิน จำนวน ๕ ลำ จากท่าแขกมาทิ้งระเบิดที่นครพนมฝ่ายไทย ได้นำเครื่องบินขับไล่ ๓ เครื่องขึ้นต่อสู้ ขับไล่เครื่องบินข้าศึกหลบหนีกลับไปหลังจากนั้นก็ได้มีการรบทางอากาศ จังหวัดชายแดนตั้งแต่หนองคาย ถึงจันทบุรีและเมืองต่าง ๆ ในลาวและเขมร



อนุสารีย์วีรไทย
ณ ค่ายจักรพงษ์ จ.ปราจีนบุรี

อนุสาวรีย์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง
ณ ชายทะเล อ.แหลมงอบ จ.ตราด


๕ ม.ค.๘๔ กองทัพสนามของไทย ได้เคลื่อนกำลังรุกเข้าไปในดินแดงลาวและเขมร ประสบชัยชนะตลอดแนว ดังนี้
กองทัพบูรพา ยึด ศรีโสภณไพลินและพระตะบองได้
กองทัพอิสาน ยึด จำปาศักดิ์ได้
กองทัพพายัพ ยึด ปากลาย หงสาและเชียงฮอนได้
๑๗ ม.ค.๘๔  เกิดยุทธนาวีเกาะช้าง ระหว่างราชนาวีไทยกับกองเรือรบฝรั่งเศส กองเรือรบฝ่ายไทย ๓ ลำ ได้แก่ เรือรบหลวงธนบุรี (เรือปืน) มีนายนาวาโทหลวงพร้อม วีรพันธ์ เป็นผู้บังคับการเรือ เรือรบหลวงสงขลา (เรือตอร์ปิโด) และ เรือรบหลวงชลบุรี (เรือตอร์ปิโด) กองเรือรบฝรั่งเศสมี ๗ ลำ ได้แก่ เรือลาดตระเวนลามอตต์ปิเกต์เป็นเรือธง พร้อมเรือสลุป
๒ ลำ และเรือปืน ๔ ลำ ฝ่ายไทยเสียเปรียบด้านกำลังมาก ผลการรบได้รับความเสียหายหนักทั้งสองฝ่าย
๒๕ ม.ค.๘๔ ไทยยอมรับข้อเสนอให้หยุดยิงของญี่ปุ่น ที่เข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท ครั้งนี้
๒๘ ม.ค.๘๔ ไทยและฝรั่งเศสหยุดยิง และได้ลงนามในสัญญาพักรบที่ไซ่ง่อนบนเรือรบญี่ปุ่น เมื่อ ๓๑ ม.ค.๘๔


อนุสาวรีย์วีรไทย
ณ ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา

๙ พ.ค.๘๔ ไทยและฝรั่งเศสได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก
ณ กรุงโตเกียว โดยไทยได้ดินแดนฝั่งขวา แม่น้ำโขง จำนวน ๖๙,๐๒๙ ตารางกิโลเมตรจากจำนวนที่ไทยเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสทั้งหมด ๔๖๗,๕๐๐ ตารางกิโลเมตร
๒๔ มิ.ย.๘๔ นายพลตรีพระยาพหล พลพายุหเสนา เป็นประธานวางศิลาฤกษ์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิณ ต้นทางถนนพหลโยธิน บริเวณถนน พญาไท บรรจบกับถนนราชวิถี เพื่อเป็นอนุสรณ์และเกียรติประวัติแต่วีรชนผู้สละชีพเพื่อชาติในกรณีพิพาทอินโดจีน
จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์นี้เมื่อ ๒๔ มิ.ย.๘๕
ทหารและตำรวจที่เสียชีวิต ดังนี้ ทหารบก ๙๔ นาย ทหารเรือ ๔๑  นาย ทหารอากาศ ๑๓ นาย ตำรวจสนาม ๑๒ นาย รวมทั้งสิ้น ๑๖๐ นาย อัฐิของผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง ได้บรรจุไว้ณ อนุสาวรีย์แห่งนี้

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |