ค ถึงบางใหญ่ให้จอดทอดประทับ | เข้าเคียงกับกิ่งรักไม่หักหา |
เมื่อกินข้าวเขาก็หักใบรักมา | จิ้มปลาร้าลองดูด้วยอยู่ริม |
อร่อยนักรักอ่อนปลาช่อนย่าง | เปรียบเหมือนอย่างเนื้อนุ่มที่หยุมหยิม... |
...เสพอาหารหวานคาวเมื่อคราวยาก | ล้วนของฝากเฟื่องฟูค่อยชูชื่น |
แต่มะแป้นแกนในจะไปคืน | ของอื่นอื่นอักโขล้วนโอชา |
แต่สิ่งของน้องรักฟักจันอับ | แช่อิ่มพลับผลชิดเป็นปริศนา |
พี่จะจากฝากปิดสนิทมา | เหมือนแก้วตาตามติดมาชิดเชื้อ |
แผ่นขนุนวุ้นทองของแห้งสิ้น | แต่ละชิ้นชูใจอาลัยเหลือ |
ได้ชื่นชิมอิ่มหนำทั้งลำเรือ | เพราะน้องเนื้อนพคุณกรุณา |
ค แล้วเข้าทางบางใหญ่ครรไลล่อง | ไปตามคลองเคลื่อนคล้อยละห้อยหา |
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา | สะอื้นอาลัยถึงคะนึงนวล |
แม้นแก้วตามาเห็นเหมือนเช่นนี้ | จะยินดีด้วยดอกไม้ที่ในสวน |
ไม่แจ้งนามถามพี่จะชี้ชวน | ชมลำดวนดอกส้มต้นนมนาง... |
ค บางกระบือเห็นกระบือเหมือนชื่อย่าน | แสนสงสารสัตว์นาฝูงกาสร |
ลงปลักเปือกเกลือกเลนระเนนนอน | เหมือนจะร้อนรนร่ำทุกค่ำคืน... |
ค ถึงคลองย่านบ้านบางสุนัขบ้า | เหมือนขี้ข้านอกเจ้าเฉาฉงาย |
เป็นบ้าจิตคิดแค้นเพราะแสนร้าย | ใครใกล้กรายเกลียดกลัวทุกตัวคน |
ถึงลำคลองช่องกว้างชื่อบางโสน | สะอื้นโอ้อ้างว้างมากลางหน |
โสนออกดอกระย้าริมสาชล | บ้างร่วงหล่นแลงามเมื่อยามโซ |
แต่ต้นกระเบาเขาไม่ใช้เช่นใจหญิง | เบาจริงจริงเจียวใจเหมือนไม้โสน |
เห็นตะโกโอ้แสนแค้นตะโก | ถึงแสนโซสุดคิดไม่ติดตาม |
พอสุดสวนล้วนแต่เหล่าเถาสวาด | ขึ้นพันพาดเพ่งพิศให้คิดขาม |
ชื่อสวาดพาดเพราะเสนาะนาม | แต่ว่าหนามรกระเกะระกะกาง |
สวาดต้นคนต้องแล้วร้องอุ่ย | ด้วยรุกรุยรกเรื้อรังเสือสาง |
แต่ชั้นลูกถูกต้องเป็นกองกลาง | เปรียบเหมือนอย่างลูกสวาทศรียาตรา |
ริมลำคลองท้องทุ่งดูวุ้งเวิ้ง | ด้วยน้ำเจิ่งจอกผักขึ้นหนักหนา |
ดอกบัวเผื่อนเกลื่อนกลาดดาษดา | สันตะวาสายติ่งต้นลินจง |
ค ถึงบ้านใหม่ธงทองริมคลองลัด | ที่หน้าวัดเห็นเขาปักเสาหงส์ |
ขอความรักหนักแน่นให้แสนตรง | เหมือนคันธงแท้เที่ยงอย่าเอียงเอน |
ได้ชมวัดศรัทธาสาธุสะ | ไหว้ทั้งพระปฏิมามหาเถร |
นาวาล่องคล่องแคล่วเขาแจวเจน | เฟือยระเนนน้ำพร่างกระจ่างกระจาย |
ดูชาวบ้านพรานปลาทำลามก | เที่ยวดักนกยิงเนื้อมาเถือขาย |
เป็นทุ่งนาป่าไม้รำไรราย | พวกหญิงชายชาวเถื่อนอยู่เรือนโรง |
ที่ริมคลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรียงรันควันโขมง |
ถึงชะวากปากช่องชื่อคลองโยง | เป็นทุ่งโล่งลิบลิ่วหวิวหวิวใจ |
มีบ้านช่องสองฝั่งชื่อบางเชือก | ล้วนตมเปือกเปอะปะสวะไสว |
ที่เรือน้อยลอยล่องค่อยคล่องไป | ที่เรือใหญ่โป้งโล้งต้องโยงควาย |
เวทนากาสรสู้ถอนถีบ | เขาตีรีบเร่งไปน่าใจหาย |
เกิดแสนชาติจะมาเกิดกำเนิดกาย | อย่าเป็นควายรับจ้างที่ทางโยง |
ตามแถวทางกลางย่านนั้นบ้านว่าง | เขาปลูกสร้างศาลาเป็นฝาโถง |
เจ็กจีนใหม่ไทยมั่งไปตั้งโรง | ขุดร่องน้ำลำกระโดงเขาโยงดิน |
ดูทุ่งกว้างวางเวกหมอกเมฆมืด | บรรพตพืดภูผาพนาสิน |
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | ตามที่ถิ่นเขตแคว้นทุกแดนดาว |
บ้างเดินดินบินว่อนขึ้นร่อนร้อง | ริมขอบหนองนกกระกรุมคุ่มคุ่มขาว |
ค้อนหอยย่องมองปลาแข้งขายาว | อีโก้งก้าวโก้งเก้งเขย่งตัว |
กระทุงทองล่องเลื่อนดูเกลื่อนกลาด | ไม่คลาคลาดคลอเคลียเหมือนเมียผัว |
มีต่างต่างยางกรอกนกดอกบัว | เที่ยวเดินยั้วเยี้ยย่องที่ท้องนา |
นกกระจาบขาบคุ่มอีลุ้มร่อน | ดูว้าว่อนเวียนเร่ในเวหา |
เห็นยางเจ่าเซาจับคอยสับปลา | นกกระสาซ่องซ่องค่อยย่องเดิน |
โอ้ดูนกอกใจให้ไหวหวาด | ยามนิราศเริดร้างมาห่างเหิน |
เห็นสิ่งไรใจพี่ไม่มีเพลิน | ส่วนเรือเดินด่วนไปใจจะคืน |
ค จนออกช่องคลองโยงเห็นโรงบ้าน | เขาเรียกลานตากฟ้าค่อยพาชื่น |
โอ้แผ่นฟ้ามาตากถึงภาคพื้น | น่าจะยืนหยิบเดือนได้เหมือนใจ |
เจ้าหนูน้อยพลอยว่าฟ้าตกน้ำ | ใครช่างดำยกฟ้าขึ้นมาได้ |
แม้นแดนดินสิ้นฟ้าสุราลัย | จะเปล่าใจจริงจริงทั้งหญิงชาย |
โอ้ฟังบุตรสุดสวาทฉลาดเปรียบ | ต้องทำเนียบนึกไปก็ใจหาย |
ถึงแขวงแควแลลิ่วชื่องิ้วราย | สะอื้นอายออกความเหมือนนามงิ้ว... |
ค ถึงย่านน้ำสำประทวนรำจวนจิต | เหมือนใจคิดทวนทบตลบหลัง |
ไปลอบโลมโฉมเฉกที่เมฆบัง | เปรียบเหมือนนั่งแอบอุ้มทุกทุ่มโมง |
ถึงปากน้ำลำคลองที่ท้องทุ่ง | เจ๊กเขาหุงเหล้ากลั่นควันโขมง |
มีรางรองสองชั้นทำคันโพง | ผูกเชือกโยงยืนชักคอยตักเติม |
น่าชมบุญขุนพัฒน์ไม่ขัดข้อง | มีเงินทองทำทวีภาษีเสริม |
เมียน้อยน้อยพลอยเป็นสุขไรจุกเจิม | ได้พูนเพิ่มวาสนาเสียกว่าไทย |
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับถือ | เหมือนเราหรือเขาจะรักมิผลักไส |
สงสารจนอ้นอั้นให้ตันใจ | จนเข้าไปปากน้ำสำประโทน |
ริมลำคลองสองฝั่งสะพรั่งพฤกษ์ | พินิจนึกเหมือนหนึ่งเขียนบ้างเกรียนโกร๋น |
นกอีลุ้มคุ่มขาบจิบจาบโจน | กระพือโผนโผผินขึ้นบินโบย |
บนไม้สูงฝูงเปล้านกเค้ากู่ | กระลุมพูโพระโดกเสียงโหวกโหวย... |
ค ถึงบางแก้วแก้วอื่นสักหมื่นแสน | ไปเหมือนแม้นแก้วเนตรของเชษฐา |
ดูรูปนางบางแก้วไม่แผ้วตา | ไม่เหมือนหน้าน้องแก้วที่แคล้วกัน |
จนเกินย่านบ้ามคลองที่ท้องทุ่ง | เป็นเขตคุ้งขอบป่าพนาสัณฑ์ |
ทุกถิ่นเถื่อนเรือนโรงโขมงควัน | เป็นสำคัญเขตโขดโตนดตาล |
ค ถึงโพเตี้ยโพต่ำเหมือนคำกล่าว | แต่โตราวสามอ้อมเท่าพ้อมสาน |
เป็นเรื่องราวเจ้าฟ้าพระยาพาน | มาสังหารพระยากงองค์บิดา |
แล้วปลูกพระมหาโพธิบนโขดใหญ่ | เผอิญให้เตี้ยต่ำเพราะกรรมหนา |
อันเท็จจริงสิ่งใดเป็นไกลตา | เขาเล่ามาพี่ก็เล่าให้เจ้าฟัง |
ค ที่ท้ายบ้านศาลเจ้าของชาวบ้าน | บวงสรวงศาลเจ้าผีบายศรีตั้ง |
เห็นคนทรงปลงจิตอนิจจัง | ให้คนทั้งปวงหลงลงอุบาย |
ซึ่งคำปดมดท้าวว่าเจ้าช่วย | ไม่เห็นด้วยที่จะได้ดังใจหมาย |
อันเจ้าผีนี้ถึงรับก็กลับกลาย | ถือเจ้านายที่ได้พึ่งจึงจะดี |
แต่บ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา | ไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี |
เหมือนถือเพื่อนเฟือนหลงว่าทรงดี | ไม่สู้พี่ได้แล้วเจ้าแก้วตา |
ค บางกระชับเหมือนกำชับให้กลับหลัง | กำชับสั่งว่าจะคอยละห้อยหา |
วานซืนนี้พี่ได้รับกำชับมา | ไม่อยู่ช้ากว่ากำชับจะกลับไป |
แต่เป็ดหงส์ลงหาดไม่คลาดคู่ | สังเกตดูดังจะพาน้ำตาไหล |
เหมือนเสียทีมีเพื่อนไม่เหมือนใจ | ดังดินไร้เส้นหญ้าอนาทร |
ถึงวัดสิงห์สิงสู่อยู่ที่นี่ | แต่ใจพี่นี้ไปสิงมิ่งสมร |
ก็ตัวจากพรากพลัดกำจัดจร | ยังอาวรณ์หวังเสน่ท์ทุกเวลา |
ค ถึงวัดท่าท่าน้ำดูฉ่ำชื่น | สำราญรื่นร่มไม้ไทรสาขา |
คิดถึงนุชสุดสวาทที่คลาดคลา | จะคอยท่าถามข่าวทุกคราวเรือ |
ถึงบ้านกล้วยกล้วยกล้ายเขารายปลูก | น้ำเต้าลูกเท่ากระติกพริกมะเขือ |
กล้วยหักมุกสุกห่ามอร่ามเครือ | อยู่ริมเรือเรียดทางข้างคงคา |
คิดถึงเมื่อเรือน้องมาคลองนี้ | จะชวนชี้ชมประเทศกับเชษฐา |
สะอื้นโอ้โพล้เพล้ถึงเวลา | สกุณาข้ามฝั่งไปรังเรียง |
บ้างเริงร้องซ้องแซ่กรอแกรกรีด | หวิวหวิดหวีวเวทนาภาษาเสียง |
ลูกอ่อนแอแม่ป้อนชะอ้อนเอียง | บ้างคู่เคียงเคล้าคลอเสียงซอแซ |
เอ็นดูนกกกบุตรแล้วสุดเศร้า | เหมือนบุตรเราเคียงข้างไม่ห่างแห |
หวนสะอื้นฝืนใจอาลัยแล | ได้เห็นแต่ตาบน้อยละห้อยใจ |
ตะวันรอนอ่อนอับพยับแสง | ดูดวงแดงดังจะพาน้ำตาไหล |
ยังรอรั้งสั่งฟ้าด้วยอาลัย | ค่อยไรไรเรืองลับวับวิญญา |
พระจันทรจรจำรูญข้างบูรพทิศ | กระต่ายติดแต้มสว่างกลางเวหา |
โอ้กระต่ายหมายจันทร์ถึงชั้นฟ้า | เทวดายังช่วยรับประคับประคอง |
มนุษย์หรือถือดีว่ามีศักดิ์ | มิรับรักเริดร้างให้หมางหมอง |
ไม่เหมือนเดือนเหมือนกระต่ายเสียดายน้อง | จึงขัดข้องขัดขวางทุกอย่างไป |
น้ำค้างพรมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยริ้ว | หนาวดอกงิ้วงิ้วออกดอกไสว... |
ค ถึงบ้านธรรมศาลาริมท่าน้ำ | เป็นโรงธรรมภาคสร้างแต่ปางหลัง |
เดชะคำทำคุณการุณัง | เป็นที่ตั้งวาสนาให้ถาวร |
ขอสมหวังดังสวาทอย่าคลาดเคลื่อน | ให้ได้เหมือนหมายรักในอักษร |
หนังสือไทยอธิฐานสารสุนทร | จงถาพรเพียรักเป็นหลักโลม |
ค ถึงถิ่นฐานบ้านเพนียดเป็นเนินสูง | ที่จับจูงช้างโขลงเข้าโรงหลวง |
เหตุเพราะนางช้างต่อไปล่อลวง | พลายทั้งปวงจึงต้องถูกมาผูกโรง... |
เขาจอดท่าหน้าเนินเพนียดช้าง | มีโรงร้างไร้ฝาเข้าอาศัย |
พอประทังบังฝนใต้ต้นไทร | พวกผู้ใหญ่หยุดหย่อนเขานอนเรือ |
แต่ลูกเล็กเด็กอ่อนนอนชั้นล่าง | น้ำค้างพร่างพรมพราวให้หนาวเหลือ |
โอ้รินรินกลิ่นเกสรขจรเจือ | เหมือนกลิ่นเนื้อแนบชิดสนิทใน |
หนาวน้ำค้างพร่างพรมจะห่มผ้า | พออุ่นอารมณ์ระงับให้หลับไหล |
ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ | แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม |
สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า | แต่สัตว์ป่าปีปร้องก้องกระหึม |
ไม่เห็บหนต้นไม้พระไทรครึ้ม | เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง |
ทั้งเป็นผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด | จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง |
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรร้อง | แม่ม่ายลองไนเพราะเสนาะใน.... |
ค พอรุ่งรางวางเวงเสียงเครงครื้น | ปักษาตื่นต่างเรียกกันเพรียกเสียง |
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง | สนั่นเสียงพิณพาทย์ระนาดประโคม |
กระหึมหึ่งผึ้งบินกินเกสร | ทรวงภมรเหมือนพี่เคยได้เชยโฉม |
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม | พื้นพโยมแย้มสว่างกระจ่างตา |
เสพย์อาหารหวานคาวแต่เช้าชื่น | ยังรวยรื่นรินรินกลิ่นบุปผา |
กับพวกพ้องสองบุตรสุดศรัทธา | ขึ้นเดินป่าไปตามทางเพียงวางเวง |
กระเหว่าหวานขานเสียงสำเนียงเสนาะ | ค้อนทองเคาะค้อนทองเสียงป๋องเป๋ง |
เห็นรอยเสือเนื้อตื่นอยู่ครื้นเครง | ให้กริ่งเกรงโห่ฉาวเสียงกราวเกรียว |
ต้นกรวยไกรไทรสะแกแคแกรกร่าง | น้ำค้างพร่างพร่างชุ่มชอุ่มเขียว |
หนทางอ้อมค้อมคดต้องลดเลี้ยว | พากันเที่ยวชมเนื้อดูเสือดาว |
พอแสงแดดแผดร้อนอ่อนอ่อนอุ่น | กระต่ายตุ่นต่างต่างบ้างด่างขาว |
สุกรป่าช้ามดเหมือนแมวคราว | เวลาเช้าชักฝูงออกทุ่งนา |
เด็กเด็กโดดโลดไล่กระต่ายหลบ | จับประจบหกล้มสมน้ำหน้า |
สนุกในไพรพนัสรัถยา | ทั้งบรรดาเด็กน้อยก็พลอยเพลิน |