ค ครั้นถึงวัดพระประธมบรมธาตุ | สูงทายาทอยู่สันโดษบนโขดเขิน |
แลทะมึนทึนเทิ่งดังเชิงเทิน | เป็นโขดเขินสูงเสริมเขาเพิ่มพูน |
ประกอบก่อย่อมุมเป็นซุ้มมุข | บุดีบุกบรรจบถึงนภศูล |
เป็นพืดแผ่นแน่นสนิททั้งอิฐปูน | จนเพิ่มพูนพิสดารอยู่นานครัน |
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวรอบขอบข้างล่าง | ล้วนรอยกวางทรายเกลื่อนไก่เถื่อนขัน |
สะพรั่งต้นคนทาลดาวัลย์ | ขึ้นพาดพันพงพุ่มชอุ่มใบ |
เห็นห้องหับลับลี้เป็นที่สงฆ์ | เที่ยวธุดงค์เดินมาได้อาศัย |
พลอยศรัทธาพาเพลินเจริญใจ | ถึงบันไดดูโกรกชะโงกงัน |
เห็นสูงสุดหยุดแลชะแง้แหงน | ถึงมาตรแม้นบรรลัยคงไปสวรรค์ |
ต่างอุตสาห์พยายามต้องตามกัน | ขึ้นถึงชั้นบนได้จิตใจมา |
สงสารสุดบุตรน้อยก็พลอยขึ้น | ไม่เมื่อยมึนเหมือนผู้ใหญ่ไวหนักหนา |
ประนมมือถือประทีปเทียนบูชา | ตั้งวันทาทักษิณด้วยยินดี |
ได้สามรอบชอบธรรมเป็นกำหนด | กราบประณตกรประนมก้มเกศี |
ถวายธูปเทียนบุบผาสุมาลี | กับเทียนที่ฝากถวายนั้นหลายคน |
เจ้าของคิดอธิษฐานที่บ้านแล้ว | จงผ่องแผ้วผิวพักตร์ถึงมรรคผล... |
...สาธุสะพระประธมบรมธาตุ | จะทรงศาสนาอยู่ไม่รู้สูญ |
ข้าทำบุญคุณพระช่วยอนุกูล | ให้เพิ่มพูนสมประโยชน์โพธิญาณ |
หนึ่งขอฝากปากคำทำหนังสือ | ให้สืบชื่อชั่วฟ้าสุธาสถาน |
สุนทราอาลักษณ์เจ้าจักรพาล | พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร |
อนึ่งมนุษย์อุตริติต่างต่าง | แล้วเอาอย่างเทียบทำคำอักษร |
ให้ฟั่นเฟือนเหมือนเราสาปในกาพย์กลอน | ต่อโอนอ่อนออกชื่อจึงลือชา |
อนึ่งหญิงทิ้งสัตย์เราตัดขาด | ถึงเนื้อน้ำธรรมชาติไม่ปรารถนา... |
...ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ | ซึ่งเราทรงศักราชพระศาสนา |
เสน่ห์ไหนให้คนนั้นกรุณา | เหมือนในอารมณ์รักประจักษ์ใจ |
หนึ่งน้องหญิงมิ่งมิตรพิศวาส | ซึ่งสิ้นชาติชนม์ภพสบสมัย |
ขอคุณพระอานิสงส์ช่วยส่งไป | ถึงห้องไตรตรึงส์สถานพิมานแมน... |
...เป็นคู่สร้างทางกุศลจนสำเร็จ | สรรเพชญโพธิญาณประมาณหหมาย |
ยังมิถึงซึ่งนิพพานสำราญกาย | จะกลับกลายเป็นไฉนอย่าไกลกัน |
แม้นเป็นไม้ให้พี่นี้เป็นนก | ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์ |
แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ | ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร |
แม้นเป็นบัวตัวพี่เป็นแมงภู่ | ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร |
เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร | ได้เชยช้อนชมชะเลทุกเวลา |
แม้นเป็นถ้ำน้ำใจใคร่เป็นหงส์ | จะได้ลงสิงสู่ในคูหา |
แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา | พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ |
กว่าจะถึงซึ่งมหาศิวาโมกข์ | เป็นสิ้นโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ |
เสวยสวัสดิ์ชัชวาลนานอนันต์ | เหลือจะนับกัปกัลป์พุทธันดร... |
...แล้วกราบลาพระประธมบรมธาตุ | เลียบลีลาศแลพินิจทุกทิศา |
เห็นไรไรไกลสุดอยุธยา | ด้วยสุธาถมสูงที่กรุงไกร |
ที่อื่นเตี้ยเรี่ยราบดังปราบเรี่ยม | ด้วยยื่นเยี่ยมสูงกว่าพฤกษาไสว |
โอ้เวียงวังยังเขม้นเห็นไรไร | แต่สายใจพี่เขม้นไม่เห็นทรง |
ยิ่งเสียวเสียวเหลียวย้ายทั้งซ้ายขวา | ล้วนทุ่งนาเนินไม้ไพรระหง |
ภูเขาเคียงเรียงรอบเป็นขอบวง | ในแดนดงดูสล้างล้วนยางยูง |
ที่ทุ่งโกงโรงเรือนดูเหมือนเขียน | เห็นช้างเจียนจะเท่าหมูเพราะอยู่สูง |
เขาต้อนควายหมายผูกจมูกจูง | เป็นฝูงฝูงไรไรทุกไร่นา |
ในอากาศดาษดูล้วนหมู่นก | บ้างเวียนวกวนร่อนว่อนเวหา |
เห็นนกไม้ไพรวันอรัญวา | สะอื้นอาลัยเหลียวด้วยเปลี่ยวใจ |
บนประธมลมเฉื่อยเรื่อยเรื่อยรื่น | กระพือผืนผ้าปลิวหวิวหวิวไหว |
เสียงฮือฮือรื้อร่ำยังค่ำไป | อนาถใจจนสะอื้นกลืนน้ำตา |
เห็นไรไรไม้งิ้วละลิ่วเมฆ | ดังฉัตรเฉกชื่นชุมพุ่มพฤกษา |
สูงสันโดษโสดสุดจึงครุฑา | เธอแอบอาศัยสถานพิมานงิ้ว |
เห็นไม้งามนามไม้อาลัยมิตร | รำคาญคิดเขินขวยระหวยหิว |
ฉิมพะลีปลีอ่อนเกสรปลิว | มาริ้วริ้วรื่นรื่นชื่นชื่นใจ |
โอ้ยามจนอ้นอั้นกระสันสวาท | คิดถึงญาติดังจะพาน้ำตาไหล |
แกล้งแลเลยเชยชมพนมไพร | พระปรางค์ใหญ่เยี่ยมฟ้าสุธาธาร |
ที่ริมรอบขอบคันข้างชั้นล่าง | เอาอิฐขว้างดูทุกคนไม่พ้นฐาน |
แลข้างบนคนข้างล่างที่กลางลาน | สุดประมาณหมายหน้านัยน์ตาลาย |
แล้วลาพระจะลงดูตรงโกรก | สูงชะโงกเงื้อมไม้จิตใจหาย |
เมื่อขึ้นนั้นขั้นกระไดขึ้นง่ายดาย | จะลงเห็นเป็นว่าหงายวุ่นวายใจ |
ต้องผินผันหันหลังลงทั้งสิ้น | ถึงแผ่นดินยินดีจะมีไหน |
เที่ยวชมวัดทัศนาศาลาลัย | ต้นโพธิ์ไทรสูงสูงทั้งยูงยาง |
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | มะตูมตาดต้นเอื้องมะเฟืองฝาง |
นมสวรรค์ลั่นทมต้นนมนาง | มีต่างต่างตันอกตกตะลึง |
นมสวรรค์ฉันดูสู้ไม่ได้ | เหมือนเตือนใจให้นึกรำลึกถึง |
เห็นเล็บนางหมางเมินเดินรำพึง | ชมกระทึงดอกดวงพวงพยอม |
พิกุลใหญ่ใต้ต้นหล่นแฉล้ม | ดูกลีบแซมชื่นเชยระเหยหอม |
ผลลูกสุกห่ามงามงามงอน | แต่แตนตอมต่อผึ้งหึ่งหึ่งฮือ |
เห็นนกเปล้าเขาไฟฝูงไก่เถื่อน | เที่ยวเดินเกลื่อนกลางดินบ้างบินปรื๋อ |
เหล่าลูกเล็กเด็กใหญ่ไล่กระพือ | มันบินรื้อร่อนลงข้างดงดอน |
ทั้งสระมีสี่มุมปทุมชาติ | ระดะดาษดอกดวงบัวหลวงสลอน |
บ้างร่วงโรยโปรยปรายกระจายจร | หอมเกสรเสาวคนธ์ที่หล่นลอย |
มีเต่าปลาอาศัยอยู่ในน้ำ | บ้างผุดดำโดดคะนองพ่นฟองฝอย |
ฝูงกริมกรายรายเรียงขึ้นเคียงคอย | จะคาบสร้อยเสาวคนธ์ว่ายวนเวียน |
เหมือนด้วยรักหนักหน่วงไม่ร่วงหล่น | ให้เวียนวนหวั่นจิตตะขวิดตะเขวียน |
แสนสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดินเวียนวนชมประธมทอง |
โบสถ์วิหารท่านสร้างแต่ปางก่อน | มีพระนอนองค์ใหญ่ยังไม่หมอง |
หลับพระเนตรเกศเกยเขนยทอง | ดูผุดผ่องพูนเพิ่มเติมศรัทธา |
ค โอ้เอ็นดูหนูตาบจะกราบก้ม | เปลื้องผ้าห่มนอบนบจบเกศา |
ขึ้นห่มพระอธิษฐานให้มารดา | พลอยน้ำตาตกพรากเพราะยากเย็น |
แม้นยังอยู่คู่เชยไม่เลยละ | มาไหว้พระก็จะพามาให้เห็น |
โอ้ชาตินี้มีกรรมจึงจำเป็น | มาแสนเข็ญขาดมิตรสนิทใน |
กราบพระเจ้าเศร้าจิตคิดสังเวช | โอ้น้ำเนตรเอ๋ยกลืนก็ขืนไหล |
สารพัดตัดขาดประหลาดใจ | ตัดอาลัยสวาทไม่ขาดความ |
แกล้งพูดพาตาเฒ่าพวกชาวบ้าน | คนโบราณรับไปได้ไถ่ถาม |
เห็นรูปหินศิลาสง่างาม | เป็นรูปสามกษัตริย์ขัตติยวงศ์ |
ถามผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้ทราบความตามประสงค์ |
ว่ารูปทำจำลองฉลององค์ | พระยากงพระยาพานกับมารดา |
ค ด้วยเดิมเรื่องเมืองนั้นถวัลยราช | เรียงพระญาติพระยากงสืบวงศา |
เอาพานทองรองประสูติพระบุตรา | กระทบหน้าแต่น้อยน้อยเป็นรอยพาน |
พอโหรทายร้ายกาจไม่พลาดเพลี่ยง | ผู้ใดเลี้ยงลูกน้อยจะพลอยผลาญ |
พระยากงส่งไปให้นายพราน | ทิ้งที่ธารน้ำใหญ่ยังไม่ตาย |
ยายหอมรู้จู่ไปเอาไว้เลี้ยง | แกรักเพียงลูกรักไม่หักหาย |
ใครถามไถ่ไม่แจ้งให้แพร่งพราย | ลูกผู้ชายชื่นชิดให้ปิดบัง |
ครั้นเติบใหญ่ได้วิชาตาปะขาว | แกเป็นชาวเชิงพนมอาคมขลัง |
รู้ผูกหญ้าภาพยนต์มนต์จังงัง | มีกำลังลือฤทธิ์พิสดาร |
พระยากงลงมาจับก็รับรบ | ตีกระทบทัพย่นถึงชนสาร |
ฝ่ายท้าวพ่อมรณาพระยาพาน | จึงได้ผ่านภพผดุงกรุงสุพรรณ |
เข้าหาพระมเหสีเห็นมีแผล | จึงเล่าแต่ตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
เธอรู้ความถามไถ่ได้สำคัญ | ด้วยคราวนั้นคนเขารู้ทุกผู้คน |
ครั้นถามไถ่ยายหอมก็ยอมผิด | ด้วยปกปิดปฏิเสธซึ่งเหตุผล |
เธอโกธาฆ่ายายนั้นวายชนม์ | จึงให้คนก่อสร้างพระปรางค์ประโทน |
แทนคุณตามความรักแต่หักว่า | ต้องเข่นฆ่ากันเพราะกรรมเหมือนคำโหร |
ที่ยายตายหมายปักเป็นหลักประโคน | แต่ก่อนโพ้นพ้นมาเป็นช้านาน |
จึงสำเหนียกเรียกย่านบ้านยายหอม | ด้วยเดิมจอมจักรพรรดิอธิษฐาน |
ครั้นเสร็จสรรพกลับมาหาอาจารย์ | เหตุด้วยบ้านนั้นมีเนินศิลา |
จึงทำเมรุเกณฑ์พหลพลรบ | ปลงพระศพพระยากงพร้อมวงศา |
แล้วปลดเปลื้องเครื่องกษัตริย์ขัตติยา | ของบิดามารดาแต่ก่อนกาล |
กับธาตุใส่ในตรุบรรจุไว้ | ที่ถ้ำใต้เนินพนมประธมสถาน |
จึงเลื่องลือชื่อว่าพระยาพาน | คู่สร้างชานเชิงพนมประธมทอง |
ท่านผู้เฒ่าเล่าแจ้งจึงแต่งไว้ | หวังจะให้สูงเสริมเฉลิมฉลอง |
ด้วยเลื่อมใสในจิตคิดประคอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม |
ก็จนใจได้แต่ทำคำหนังสือ | ช่วยเชิดชื่อท่านผู้สร้างไว้ทั้งสาม... |
ค แล้วลาออกนอกโบสถ์ขึ้นโขดหิน | ตรวจวารินรดทำคำอักษร |
ส่งส่วนบุญสุนทราสถาพร | ถึงบิดรมารดาครูอาจารย์ |
ถวายองค์มงกุฎอยุธเยศ | ทรงเศวตคชงามทั้งสามสาร... |
...อนึ่งน้อมจอมนิกรอัปสรราช | บำรุงศาสนาสงฆ์ทรงสิกขา |
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา | ชนมาหมื่นแสนอย่าแค้นเคือง |
ษิโณทกตกดินพอสิ้นแสง | ตะวันแดงดูฟ้าเป็นผ้าเหลือง |
ศิโรราบกราบลากลับมาเมือง | เป็นสิ้นเรื่องที่ไปชมประธมเอย ฯ |