เป็นเรื่องความตามติดท่านบิดร | กำจัดจรจากนิเวศเชตุพน |
พอออกเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำ | ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน... |
ค ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุ | แทบพระบาทบุษบงองค์อัปสร |
ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดร | พระด่วนจรสู่สวรรคครรไล... |
ค ถึงปากง่ามนามบอกบางกอกน้อย | ยิ่งเศร้าสร้อยทรวงน้องดังต้องศร |
เหมือนน้อยทรัพย์ลับหน้านิราจร | ไปแรมรอนราวไพรใจรัญจวน |
เคยชมเมืองเรืองระยับจะลับแล้ว | ไปชมแถวทุ่งนาล้วนป่าสวน... |
ค ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่พักตร์ | คนรู้จักแจ้งจิตทุกทิศา |
ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยา | เป็นร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม... |
ค ถึงบางจากน้องไม่มีที่จะจาก | โอ้วิบากกรรมสร้างแต่ปางไหน |
เผอิญหญิงชิงชังน่าคลั่งใจ | จะรักใคร่เขาไม่มีปรานีเลย |
ถึงบางพลูพลูใบใส่ตะบะ | ถวายพระเพราะกำพร้านิจจาเอ๋ย... |
ค ถึงบางอ้อคิดจะใคร่ได้ไม้อ้อ | ทำแพนซอเสียงแจ้วเที่ยวแอ่วสาว |
แต่ยังไม่เคยเชยโฉมประโลมลาว | สุดจะกล่าวกล่อมปลอบให้ชอบใจ |
ถึงบางซ่อนซ่อนเงื่อนไม่เยื้อนแย้ม | ถึงหนามแหลมเหลือจะบ่งที่ตรงไหน |
โอ้บางเขนเวรสร้างไว้ปางใด | จึงเข็ญใจจนไม่มีที่จะรัก... |
ค ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง | เป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย |
แม้นขายแก้วแววฟ้าที่อาลัย | จะซื้อใส่บนสำลีประชีรอง... |
ค ถึงวัดตั้งฝั่งสมุทรพระพุทธร้าง | ว่าท่านวางไว้ให้คิดปริศนา |
แม้นแก้ไขไม่ออกเอาที่ตอกตา | นึกก็น่าใคร่หัวเราะจำเพาะเป็น... |
ค ถึงวัดเขียนเหมือนหนึ่งเพียรเขียนอักษร | กลกล่อมกล่าวกล่อมถนอมโฉม |
เดชะรักลักลอบปลอบประโลม | ขอให้โน้มน้อมจิตสนิทใน |
ถึงคลองขวางบางศรีทองมองเขม้น | ไม่แลเห็นศรีทองที่ผ่องใส... |
ค ถึงบางแวกแยกคลองเป็นสองทาง | เหมือนจืดจางใจแยกไปแตกกัน |
ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหาย | ใครเขาขายขวัญหรือจะซื้อขวัญ |
แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทน์ | จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง |
ถึงบางขวางขวางอื่นสักหมื่นแสน | ถึงต่างแดนดงดอนสิงขรขวาง... |
ค ถึงบ้านบางธรณีแล้วพี่จ๋า | แผ่นสุธาก็ไม่ไร้ใบมะเขือ |
เขากินหมูหนูพัดจะกัดเกลือ | ไม่ถ่อเรือแหหาปลาตำแบ |
ถึงปากเกร็ดเตร็ดเตร่มาเร่ร่อน | เที่ยวสัญจรตามระลอกเหมือนจอกแหน |
มาถึงเกร็ดเขตมอญสลอนแล | ลูกอ่อนแออุ้มจูงพะรุงพะรัง |
ดูเรือนไหนไม่เห็นเว้นลูกอ่อน | ไม่หยุดหย่อนอยู่ไฟจนไหม้หลัง |
ไม่ยิ่งยอดปลอดเปล่าเหมือนชาววัง | ล้วนเปล่งปลั่งปลื้มใจมาไกลตา |
ค พอออกคลองล่องลำแม่น้ำวก | เห็นนกหกเหินร่อนว่อนเวหา |
กระทุงทองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา | ดาษดาดอกบัวขาวคลัวเคลีย |
นกกาน้ำดำปลากระสาสูง | เป็นฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย |
นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปีย | ล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน |
ถึงเดือนไข่ไปลับแลเมืองแม่ม่าย | ขึ้นไข่ชายเขาโขดเป็นโกฏิแสน |
พอบินได้ไปประเทศทุกเขตแคว้น | คนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง... |
ค ถึงบ้านลาวเห็นแต่ลาวพวกชาวบ้าน | ล้วนหูยานอย่างบ่วงเหมือนห่วงหวาย |
ไม่เหมือนลาวชาวกรุงที่นุ่งลาย | ล้วนกรีดกรายหยิบหย่งทรงสำอาง |
ถึงบางพูดพูดมากคนปากมด | มีแต่ปดเป็นอันมากเขาถากถาง |
ที่พูดน้อยค่อยประคิ่นลิ้นลูกคาง | เหมือนหญิงช่างฉอเลาะปะเหลาะชาย |
ค ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่ | พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย |
ดูจริตติดจะงอนเป็นมอญกลาย | ล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ |
แต่ไม่มีกิริยาด้วยผ้าห่ม | กระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ... |
ค ถึงไผ่รอบขอบเขื่อนดูเหมือนเขียน | ชื่อวัดเทียนถวายอยู่ฝ่ายขวา |
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านใหม่ทำไร่นา | นางแม่ค้าขายเต่าสาวทึมทึก |
ปิดกระหมับจับกะเหม่าเข้ามินหม้อ | ดูมอซอสีสันเป็นมันหมึก |
ไม่เหมือนเหล่าชาวสวนหวนรำลึก | เมื่อไม่นึกแล้วก็ใจมิใคร่ฟัง |
ค พอฟ้าคล้ำค่ำพลบเสียงกบเขียด | ร้องกรีดเกรียดเกรียวแซ่ดังแตรสังข์ |
เหมือนเสียงฆ้องกลองโหมประโคมวัง | ไม่เห็นฝั่งฟั่นเฟือนด้วยเดือนแรม |
ลำพูรายชายตลิ่งล้วนหิ่งห้อย | สว่างพรอยแพร่งพรายขึ้นปรายแขม |
อร่ามเรืองเหลืองงามวามวามแวม | กระจ่างแจ่มจับน้ำเห็นลำเรือ |
ค ถึงย่านขวางบางทะแยงเป็นแขวงทุ่ง | ดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ |
เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือ | เหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย |
ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่า | มันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย |
แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านาย | จะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน |
จารึกไว้ให้เป็นทานทุกบ้านช่อง | ฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน |
ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอน | ที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง |
ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสนัด | พระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง |
เป็นป่าช้าอาวาสปีศาจคะนอง | ฉันพี่น้องมิได้คลาดบาทบิดา |
ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบ | เย็นยะเยียบเยือกสนองพองเกศา |
เสียงผีผิวหวิวโหวยวิญญา | ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย |
บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอก | ผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย |
ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนาย | มันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว |
ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ | เป็นเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว |
หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาว | หมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน |
พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิต | บรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห |
ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแล | ขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ |
สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้า | ภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล |
เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไป | เห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน |
ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัด | ประดิพัทธ์พุทธคุณค่อยอุ่นเศียร |
บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียน | จำเริญเรียนรุกขมูลพูนศรัทธา |
อสุภธรรมกรรมฐานประหานเหตุ | หวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์ |
อันอินทรีย์วิบัติอนัตตา | ที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย |
กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้าน | พระนิพพานเพิ่มพูนเพียงสูญหาย |
อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบาย | แล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง |
ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบ | ประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์ |
พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์ | สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน |
ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่าง | ประพฤติอย่างโยคามหาเถร |
ประทับทุกรุกขรอบขอบพระเมรุ | จนพระเณรในอารามตื่นจามไอ |
ออกจงกลมสมณาษมาโทษ | ร่มนิโรจน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส |
แผ่กุศลสามจบทั้งภพไตร | จากพระไทรแสงส่องผ่องโพยม |
ค เลยบางหลวงล่วงทางมากลางแจ้ง | ถึงบ้านกระแชงหุงหันฉันผักโหม |
ยังถือมั่นขันตีนี้ประโลม | ถึงรูปโฉมพาหลงไม่งงงวย |
พอเสียงฆ้องกลองแซ่เขาแห่นาค | ผู้หญิงมากมอญเก่าสาวสาวสวย |
ร้องลำนำรำฟ้อนอ่อนระทวย | พากันช่วยเขาแห่ได้แลดู... |
...ทั้งหนูกลั่นนั้นคะนองจะลองทิ้ง | บอกให้หญิงรำรับขยับหัน |
ถ้าทิ้งถูกลูกละบาทประกาศกัน | เขารับทันเราก็ให้ใบละเฟื้อง |
นางน้อยน้อยพลอยสนุกลุกขึ้นพร้อม | งามละม่อยมีแต่สาวล้วนขาวเหลือง |
ใส่จริตกรีดกรายชายชำเลือง | ขยับเยื้องยิ้มแย้มแฉล้มลอย |
ต่างหมายมุ่งตุ้งติ้งทิ้งหมากดิบ | เขาฉวยฉิบเฉยหน้าไม่ราถอย |
ไม่มีถูกลูกดิ่งทั้งทิ้งทอย | พวกเพื่อนพลอยทิ้งบ้างห่างเป็นวา |
ฉันลอบลองสองลูกถูกจำนับ | ถูกปุ่มปับปากกรีดหวีดผวา |
ร้องอยู่แล้วแก้วพี่มานี่นา | พวกมอญฮาโห่แห่ออกแซ่ไป |