ค พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก | เป็นคำโลกสมมุติสุดสงสัย |
ถามบิดาว่าผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้ | ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์ |
หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้าง | ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ |
พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ | ทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง |
จึงที่นี่มีนายชื่อสามโคก | เป็นคำโลกสมมุติสุดแถลง |
ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง | ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์ |
ชื่อปทุมธานีที่เสด็จ | เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก |
มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก | พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา |
ได้รู้เรื่องเมืองปทุมค่อยชุ่มชื่น | ดูภูมิพื้นวัดบ้านขนานหน้า |
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา | ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง |
ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาด | แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง |
ทั้งห่มผ้าตาหรี่เหมือนสีรุ้ง | ทั้งผ้านุ่งนั้นออมลงกรอมตีน |
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ | เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล |
นี่หากเห็นเป็นเด็กแม้นเจ๊กจีน | เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง |
ชาวบ้านนั้นปั้นอีเลิ้งใส่เพิงพะ | กระโถนกะทะอ่างโอ่งกระโถงกระถาง |
เขาวานน้องร้องถามไปตามทาง | ว่าบางขวางหรือไม่ขวางพี่นางมอญ |
เขาเบือนหน้าว่าไม่รู้ดูเถิดเจ้า | จงถามเขาคนข้างหลังที่นั่งสอน |
ไม่ตอบปากบากหน้านาวาจร | คารมมอญมิใช่เบาเหมือนชาวเมือง |
ค ถึงบ้านงิ้วงิ้วต้นแต่พ้นหนาม | ไม่งอกงามเหมือนแม่งิ้วที่ผิวเหลือง... |
ค ถึงโพแตงคิดถึงแตงที่แจ้งจัก | ดูน่ารักรสชาดประหลาดเหลือ... |
ค ถึงเกาะหาดราชครามรำรามรก | เห็นนกหกหากินบินไสว |
เขาถากถางกว้างยาวทั้งลาวไทย | ทำนาไร่ร้านผักรั้วฟักแฟง |
สุดละเมาะเกาะกว้างสว่างโว่ง | แลตะโล่งลิบเนตรทุกเขตแขวง |
เห็นควันไฟไหม้ป่าจับฟ้าแดง | ฝูงนกแร้งร่อนตัวเท่าถั่วดำ... |
ค ถึงด่านทางบางไทรไขว่เฉลว | เห็นไพร่เลวหลายคนอยู่บนด่าน |
ตุ้งก่าตั้งนั่งชักควักน้ำตาล | คอยว่าขานขู่คนลงค้นเรือ |
ไม่เห็นของต้องห้ามก็ลามขอ | มะละกอกุ้งแห้งแตงมะเขือ |
ขอส้มสูกจุกจิกทั้งพริกเกลือ | จนชาวเรือเหลือระอาด่าในใจ |
แต่ลำเราเขาไม่ค้นมาพ้นด่าน | ดูภูมิฐานทิวชลาพฤกษาไสว |
ถึงอารามนามอ้างวัดบางไทร | ต้นไทรใหญ่อยู่ที่นั่นน้องวันทา |
เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตพุ่ม | เพราะเคยอุ้มอุณรุทสมอุษา... |
...นอนเอนหลังนั่งเล่นเย็นเย็นลม | ชมพนมแนวไม้ร่ำไรราย |
ดูเหย้าเรือนเหมือนเขียนเตียนตลิบ | เห็นลิบลิบแลไปจิตใจหาย |
เขาปลูกผักฟักถั่วจูงวัวควาย | ชมสบายบอกแจ้งตำแหน่งนาม |
ค ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผล | อย่างเกิดคนติเตียนเป็นเสี้ยนหนาม |
ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงาม | เหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง |
ถึงเกาะพระไม่เห็นพระปะแด่เกาะ | แต่ชื่อเพราะชื่อพระสละหลง... |
ค ถึงเกาะเรียงเคียงครองเป็นสองแยก | ป่าละแวกวังราชประพาสสินธุ์ |
ได้นางห้ามงามพร้อมชื่อหม่อมอิน | จึงตั้งถิ่นที่เพราะเสนาะนาม... |
ค เมื่อเรียนกันจนจบถึงกบเกย | ไม่ยากเลยเรียนได้ดังใจจง |
แต่เรียนรักรักนักก็มักหน่าย | รักละม้ายมิได้ชมประสงค์ |
ยิ่งรักมากพากเพียรยิ่งเวียนวง | มีแต่หลงลมลวงน่าทรวงโทรม |
ค มาถึงวัดพนัญเชิงเทิงถนัด | ว่าเป็นวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม |
ผนังก่อย่อมุมเป็นซุ้มโคม | ลอยโพยมเยี่ยมฟ้านภาลัย |
มีศาลาท่าน้ำดูฉ่ำชื่น | ร่มระรื่นรุกขาน่าอาศัย |
บิดาพร่ำร่ำเล่าให้เข้าใจ | ว่าพระใหญ่อย่างเยี่ยงที่เสี่ยงทาย |
ถ้าบ้านเมืองเคืองเข็ญจะเป็นเหตุ | ก็อาเพศพังหลุดทรุดสลาย |
แม้พาราผาสุกสนุกสบาย | พระพักตร์พรายเพราพริ้มดูอิ่มองค์ |
แต่เจ็ดย่านบ้านนั้นก็นับถือ | ร้องเรียกชื่อว่าพระเจ้าปุนเถาก๋ง |
ด้วยบลบานการได้ดังใจจง | ฉลององค์พุทธคุณกรุณัง |
แล้วก็ว่าถ้าใครน้ำใจบาป | จะเข้ากราบเกรงจะทับต้องกลับหลัง |
ตรงหน้าท่าสาชลเป็นวนวัง | ดูพลั่งพลั่งพลุ่งเชี่ยวน่าเสียวใจ |
เข้าจอดเรือเหนือหน้าศาลาวัด | โสมนัสน้องไม่เสื่ยมที่เลื่อมใส... |
...แล้วห่มดองครองงามเหมือนตามเคย | ลีลาเลยเลียบตะพานขึ้นลานทราย |
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น | หอมแก้วรื่นเรณูไม่รู้หาย |
หอมจำปาหน้าโบสถ์สาโรชราย | ดอกกระจายแจ่มกลีบดังจีบเจียน |
ดูกุฎีวิหารสะอ้านสะอาด | รุกขชาติพุ่มไสวเหมือนไม้เขียน |
ดูภูมิพื้นรื่นราบด้วยปราบเตียน | แล้วเดินเวียนทักษิณพระชินวร |
ได้สามรอบชอบธรรมท่านนำน้อง | เข้าในห้องเห็นพระเจ้าเท่าสิงขร |
ต่างจุดธูปเทียนถวายขจายจร | ท่านบิดรได้ประกาศว่าชาตินี้... |
...ฉันกับน้องมองแลดูแต่พระ | สาธุสะสูงกว่าฝาผนัง |
แต่พระเพลาเท่าป้อมที่ล้อมวัง | สำรวมนั่งปลั่งเปล่งเพ่งพินิจ |
ตัวของหนูดูจิ๋วเท่านิ้วพระหัตถ์ | โตถนัดหนักนักจึงศักดิ์สิทธิ์ |
ศิโรราบกราบก้มบังคมคิด | รำพึงพิษฐานในใจจินดา... |
...แล้วลาพระปฏิมาลีลาล่อง | เข้าในคลองสวนพลูค่อยชูชื่น |
ชมแต่ไม้ไผ่พุ่มดูชุ่มชึ้น | หอมระรื่นลำดวนรัญจวนใจ... |
ค เข้าลำคลองล่องเรือมาเหลือไกล | ถึงวัดใหญ่ชายทุ่งดูวุ้งเวิ้ง |
พระเจดีย์ที่ยังอยู่ดูตระหง่าน | เป็นประธานทิวทุ่งดูสูงเทิ่ง |
ต้นโพธิ์ไทรไผ่พุ่มเป็นซุ้มเซิง | ขึ้นรอบเชิงชั้นล่างข้างเจดีย์ |
เสียดายนักหักทรุดชำรุดร้าง | ใครจะสร้างสูงเกินเจริญศรี |
ท่านบิดาว่าถึงให้ใหญ่กว่านี้ | ก็ไม่มีผู้ใดว่าใหญ่โต... |
...พอฟ้าคลุ้มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้น | เงาทะมึนมืดพยับอับโพยม |
พายุฝนอนธการสะท้านทุ่ง | เป็นฝุ่นฟุ้งฟ้าฮือกระพือโหม |
น้ำค้างชะประเปรยเชยชะโลม | ท่านจุดโดมขึ้นอารามต้องตามไป |
เที่ยวหลีกรกวกวนอยู่จนดึก | เห็นพุ่มพฤกษ์โพธิ์ทองที่ผ่องใส |
ตักน้ำผึ้งครึ่งจอกกับดอกไม้ | จุดเทียนใหญ่อย่างตำราบูชาเชิญ |
หวังจะปะพระปรอทที่ยอดยิ่ง | คะนึงนิ่งนึกรำพันสรรเสริญ |
สำรวมเรียนเทียนอร่ามงามจำเริญ | จนดึกเกินไก่ขันหวั่นวิญญา |
ทั้งเทียนดับศัพท์เสียงสำเนียงเงียบ | เย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา |
เห็นแวววับลับลงตรงนัยนา | ปรอทมาสูบซึ่งน้ำผึ้งรวง |
ครั้งคลำได้ในกลางคืนก็ลื่นหลุด | ต้องจัดจุดธูปเทียนเวียนบวงสรวง... |
ค พอรุ่งแรกแปลกกลิ่นระรินรื่น | โอ้หอมชื่นช่อมะกอกดอกโสน... |
...หวังจะปะพระปรอทที่ปลอดโปร่ง | ทั้งสามองค์เอามาไว้ก็ไพล่หนี |
เชิญพระธาตุราธนาทุกราตรี | อาบวารีทิพรสหมดมลทิน... |
ค พอเช้าตรู่ดูทางมากลางเตียน | ถึงป่าเกรียนเกรียวแซ่จอแจจริง |
กระจาบจับนับหมื่นดูดื่นดาษ | เหมือนตลาดเหลือหูเพราะผู้หญิง... |
...ลมกระทั่งรังกระจาบระยาบโยน | ตัวมันโหนหวงคู่คอยขู่คน |
บ้างคาบแขมแซมรังเหมือนดังสาน | สอดชำนาญเหน็บฝอยเหมือนสร้อยสน |
จิกสะบัดจัดแจงสอดแซงซน | เปรียบเหมือนคนช่างสะดึงรู้ตรึงตรอง... |
...จนพ้นป่ามาถึงโป่งห้วยโข่งคุด | มันหมกมุดเหมือนเขาแจ้งแถลงไข |
เห็นตาลโดดโขดคุ่มกับพุ่มไม้ | มีทิวไผ่พงรายเหมือนลายแทง |
ท่านหลีกลัดตัดทางไปกลางทุ่ง | ตั้งแต่รุ่งไปจนแดดก็แผดแสง |
ได้พักเพลเอนนอนพอผ่อนแรง | ต่ออ่อนแสงสุริยาจึงคลาไคล... |
ค พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด | ถึงตาลโดดดินพูนเป็นนูนสูง |
เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูง | เป็นฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย |
ทำกรีดปีกหลีกเลี่ยงเข้าเคียงคู่ | คอยแฝงดูดังระบำรำถวาย... |
...ออกกรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อน | แฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม |
เห็นเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนม | ระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร |
พิกุลออกดอกหอมพะยอมย้อย | นกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน |
ในเขตแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียน | ตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา |
สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วง | มีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา |
รสเร้าเสาวคนธ์สุมณฑา | ภุมราร่อนร้องละอองนวล... |
...โบสถ์วิหารฐานบัทม์ยังมีมั่ง | เชิงผนังหนาแน่นด้วยแผ่นผา |
สงสารสุดพุทธรัตน์ปฏิมา | พระศิลาแลดูเป็นบูราณ |
อุโบสถหมดหลังคาฝาผนัง | พระเจ้านั่งอยู่แต่องค์น่าสงสาร |
ด้วยเรื้อร้างสร้างสมมานมนาน | แต่โบราณเรื่องพระเจ้าตะเภาทอง |
มาเที่ยวเล่นเห็นหินบนดินโขด | เดี่ยวสันโดษดังสำลีไม่มีหมอง |
จึงจัดช่างสร้างอารามตามทำนอง | ทรงจำลองลายหัตถ์เป็นปฏิมา |
รูปพระเจ้าเท่าองค์แล้วทรงสาป | ให้อยู่ตราบศักราชพระศาสนา |
พอฤาษีสี่องค์เหาะตรงมา | ถวายยาอายุวัฒนะ |
เธอไม่อยู่รู้ว่าหลงในสงสาร | ซ้ำให้ทานแท่งยาอุตสาหะ |
ใส่ตุ่มทองรองไว้ที่ใต้พระ | ใครพบปะเปิดได้เอาไปกิน |
ช่วยสร้างโบสถ์โขดเขื่อนให้เหมือนเก่า | นายนั้นเขาเขียนแจ้งที่แท่งหิน |
วัดเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ | ให้ทราบสิ้นสืบสายเพราะลายแทง |
เป็นตำรามาแต่เหนือท่านเชื่อถือ | ดูหนังสือเสาะหาอุตส่าห์แสวง |
มาพบปะจะได้ขุดก็สุดแรง | ด้วยดินแข็งเขาประมูลด้วยปูนเพชร... |
ค พอเย็นรอนตอนสูงดูทุ่งกว้าง | วิเวกวางเวงจิตทุกทิศา |
ลิงโลดเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา | เห็นแต่ฟ้าแฝกแขมขึ้นแซมแซง |
ดูกว้างขวางว่างโว่งตะโล่งลิ่ว | ไม่เห็นทิวที่สังเกตในเขตแขวง |
สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดง | ยิ่งโรยแรงรอนรอนอ่อนกำลัง... |
...ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างว่างวิเวก | เป็นหมอกเมฆมืดมิดทุกทิศา |
แสนแสบท้องต้องเก็บตะโกนา | นึกระอาออกนามเมื่อยามโซ |
ทั้งหนูกลั่นจันมากบุนนาคน้อย | ช่วยกันสอยเก็บหักไว้อักโข |
พอเคี้ยวฝาดชาติชั่วตัวตะโก | แต่ยามโซแสบท้องก็ต้องกลืน |
พิกุลต้นผลห่ามอร่ามต้น | ครั้นกินผลพาเลี่ยนให้เหียนหืน... |
...เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำค้วยน้ำค้าง | ลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม |
ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริม | ให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง |
เสนาะดังจังหวีดวะหวีดแว่ว | เสียงแจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นเสียง |
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียง | เสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว |
จนดึกดื่นรื่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว | หนาวดอกงิ้วงิ้วต้นให้คนหนาว... |
...จนพระเมินเดินเวียนถือเทียนชู | เที่ยวส่องดูสีมาบรรดามี |
ที่ผุพังยังแต่ตรุบรรจุธาตุ | ขาดสะอาดอรหัตจำรัสศรี |
อาราธนามาไว้สิ้นด้วยยินดี | อัญชลีแล้วก็นั่งระวังภัย |
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว | ใบโพธิ์ปลิวแพลงพลิกริกริกไหว |
บ้างร่วงหล่นวนว่อนร่อนไรไร | ด้วยแสงไฟรางรางสว่างตา |
ค จนดึกดื่นรื่นร่มลมสงัด | ดึกกำดัดดาวสว่างพร่างพฤกษา |
เหมือนเสียงโห่โร่หูข้างบูรพา | กฤษฎาได้ฤกษ์เบิกพระไทร |
สายสิญจน์วงลงยันต์กันปีศาจ | ธงกระดาษปักปลิวหวิวหวิวไหว |
ข้าวสารทรายปรายปราบกำราบไป | ปักเทียนชัยฉัตรเฉลิมแล้วเจิมจันทน์ |
จุดเทียนน้อยร้อยแปดนั้นปักรอบ | ล้อมเป็นขอบเขตเหมือนหนึ่งเขื่อนขัณฑ์ |
มนต์มหาวาหุดีพิธีกรรม์ | แก้อาถรรพ์ถอยฤทธิ์นี้ปิดบัง |
แล้วโรยรินดินดำคว่ำหอยโข่ง | จะเปิดโป่งปูนเพชรเป็นเคล็ดขลัง |
พอปักธงลงดินได้ยินดัง | สำเนียงตังตึงเปรี้ยงแซ่เสียงคน |
ข้างเทียนดับกลับกลัวให้มัวมืด | พยุฮืดฮือมาเป็นห่าฝน |
ถูกลูกเห็บเจ็บแสบแปลบสกนธ์ | เหลือจะทนทานลมลงก้มกราน |
เสียงเกรียวกราววาววามโพลงพลามพลุ่ง | สะเทือนทุ่งที่บนโขดโบสถ์วิหาร |
กิ่งโพธิ์โผงโกร่งกร่างลงกลางลาน | สาดข้าวสารกรากกรากไม่อยากฟัง |
ทั้งฟ้าร้องก้องกึกพิลึกลั่น | อินทรีย์สั่นซบฟุบเหมือนทุบหลัง |
สติสิ้นวิญญาละล้าละลัง | สู่ภวังค์วุบวันเหมือนหลับไป |
เป็นวิบัติอัศจรรย์มหันตเหตุ | ให้อาเพศเพื่อจะห้ามตามวิสัย... |
...ถวายวัดตัดคำราไม่อาลัย | ขออภัยพุทธรัตน์ปฏิมา |
เหมือนรู้ความยามโศกด้วยโรคร้าย | จึงตามลายลัดแลงแสวงหา |
จะใคร่เห็นเช่นเขาบอกดอกจึงมา | มีตำราแล้วก็ต้องทดลองดู |
ไม่รื้อร้างง้างงัดไม่คัดขุด | เป็นแต่จุดเทียนเบิกฤกษ์ราหู |
ขอคุณพรตทศธรรมช่วยค้ำชู | ไม่เรียนรู้รูปงามไม่ตามลาย |
มาเห็นฤทธิ์กฤษฎาอานุภาพ | ก็เข็ดหลาบลมพาตำราหาย |
ได้กรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย | ให้ภูตพรายไพรโขมดที่โขดดิน |
ทั้งเจ้าทุ่งกรุงทวาเทพารักษ์ | ซึ่งพิทักษ์ที่พระยาคูหาหิน |
พระเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ | ซึ่งสร้างถิ่นที่วัดพระปฏิมา |
จงพ้นทุกข์สุโขอโหสิ | ไปจุติตามชาติปรารถนา... |
...ออกเดินทุ่งมุ่งหมายพอบ่ายคล้อย | ไม่ตามรอยแรกมาหญ้าไสว |
จบจวนค่ำย่ำเย็นเห็นไรไร | สังเกตไม้หมายทางมากลางคืน |
ต้องบุกรกวกหลงลุยพงแฝก | อุตส่าห์แหวกแขมคาสู้ฝ่าฝืน |
มาตามลายหมายจะลุอายุยืน | ผ้าห่มผืนหนึ่งไม่ติดอนิจจัง... |
...จนรุ่งรางทางเฟือนไม่เหมือนเก่า | ต้องเดินเดาดั้นดัดจนขัดขา |
จนเที่ยงจึงถึงเรือเหลือระอา | อายตามาตาแก้วที่แจวเรือ |
เขาหัวเราะเยาะว่าสาธุสะ | เครื่องอัฎฐะที่เอาไปช่างไม่เหลือ |
พอมืดมนฝนคลุ้มลงครุมเครือ | ให้ออกเรือรีบล่องออกท้องคุ้ง |
จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้อง | ไม่มีของขบฉันจังหันหุง |
ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุง | ท่านบำรุงรักพระไม่ละเมน... |
ค เมื่อกราบลาคลาเคลื่อนออกเลื่อนล่อง | เห็นหน้าน้องนามหุ่นนั่งชุนถุง |
ทั้งผัดหน้าทาขมิ้นส่งกลิ่นฟุ้ง | บำรุบำรุงรูปงามอร่ามเรือง... |
...ประหลาดเหลือเรือวิ่งจริงจริงเจียว | มาคืนเดียวก็ได้หยุดถึงอยุธยา |
จึงจดหมายรายเรื่องที่เคืองเข็ญ | ไปเทียวเล่นลายแทงแสวงหา |
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา | ได้จดมาเหมือนหนึ่งมีแผนที่ไว้ |
ไม่อ่อนหวานขานเพราะเสนาะโสต | ด้วยอายโอษฐ์มิได้อ้างถึงนางไหน... |
...จงทราบความตามใจอาลัยวอน | เดชะกลอนกล่าวปลอบให้ตอบคำ |
จะคอยฟังดังคอยสอยสวาท | แม้นเหมือนมาดหมายจะชิมให้อิ่มหนำ |
ถ้าครั้งนี้มิได้เยือนยังเอื้อนอำ | จะต้องคร่ำคร่าเปล่าแล้วเราเอย |