ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล | คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น |
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น | บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม |
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศ | พระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ |
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำ | สล้างลำแลสลับอยู่กับกอ |
หอมบุบผาสาโรชมารื่นรื่น | ต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ |
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอ | จะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน |
ทะลายลูกสุกแลดูแออัด | เอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์ |
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากัน | ออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิม |
ค ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า | เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม |
สุริยาฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม | อุระปิ้มศรปักสลักทรวง |
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกอย่าง | กลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง |
ด้วยครื้มครึกพฤกษาลดาพวง | ไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร |
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้น | รอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย |
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจ | รู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง |
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ | ยิ่งเหยียบฟุบขาแข้งให้แข็งขึง |
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึง | ดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน |
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่ง | ต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร |
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนน | จนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล... |
...เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อม | ระยะหย่อมเคหาน่าสนาน |
เป็นเนิ่นสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาล | เข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป |
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง | ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว |
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ | เขาจุดใต้ต้อนรับให้หลับนอน... |
...จากระยองย่องตามกันสามคน | เลียบถนนคันนาป่ารำไร |
ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่ | เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย |
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป | ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา |
ถึงบ้านแลงทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง | เฟือนหนทางทวนทบตลบหา |
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคา | จนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง |
มีเคหาอารามงามระรื่น | ด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง |
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กง | พี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ |
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่ | บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ |
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอ | ผ้าห่มห่อหมากแห้งตะแบงมาน |
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูง | เสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน... |
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยว | ด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง |
ระหกระเหินเดินภาวนาพลาง | พอพบทางลงถึงท้องทะเลวน |
เสียงพิลึกครึกครื้มกระหึมคลื่น | ร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน |
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกล | สล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา |
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้าง | มีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา |
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลา | ไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง |
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาด | เลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง |
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง | เห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ |
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก | จนมือหงิกงอแงไม่แบได้ |
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกร | เด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคน |
พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อน | ดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน |
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกล | ไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง |
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่ | ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง |
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวาง | ปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน |
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัข | มันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน |
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดร | สังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง |
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศก | บริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ |
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดง | ต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น |
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่ง | เอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น |
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็น | เสียดายเป็นกลางไพรไม่ได้การ... |
...นึกดำเนินเดินกลางทางกันดาร | ถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร |
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้น | ต้องพากันลุยเลียบทะเลไหล |
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจ | ลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง |
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด | ทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง |
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลาง | ถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ |
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้าง | ทำถามทางแถวชักชวนให้สรวลเส |
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเล | สมคะเนกินแตงพอแรงกัน |
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศ | ลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญ | ตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน |
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้าง | ไปตามทางโขดเขินเนินถนน |
สดับเสียงลิงค่างครางคำรน | เหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตา |
ค ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ | ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา |
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา | กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย... |
...มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่ | ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา |
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา | บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร |
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ | ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล |
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย | จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว... |
...เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่า | มันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย |
พอเวลาสายัณห์ตะวันชาย | ได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง |
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่ว | เขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง... |
...ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านปิตุรงค์ | ไปบ้านพลงค้อตั้งริงฝั่งคลอง... |
...แล้วไปชมกรมการบ้านตอนเด็จ | ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ |
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น | เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลา |
ค แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อ | ไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา |
จะเที่ยวดูผู้คนทำยาตา | ไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ... |
...เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่น | ลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา |
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลา | ดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน |
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขา | บ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน |
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียน | ดาษเดียรดูสล้างกลางชลา |
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่ง | เป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา |
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตา | ถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง |
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำ | จนพลบค่ำมืดมนขนสยอง |
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครอง | แม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้ |
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถาม | ตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี |
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลี | แล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา... |
...อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับปิตุเรศ | ถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม... |
...ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช | เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา |
พยายามตามกิจด้วยบิดา | เป็นฐานานุประเทศอธิบดี |
จอมกระษัตริย์มัสการขนานนาม | เจ้าอารามอารัญธรรมรังษี |
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี | กำหนดยี่สิบวษาสถาวร... |
ค จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝน | ทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล |
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจ | จนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์ |
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่น | อินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน |
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์ | มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์ |
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสาง | ที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก |
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนัก | ทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา |
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บ | ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา |
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบา | ท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด |
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้ | ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด |
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมด | จึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา... |
...ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค | กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน... |
...จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ | ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย... |
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำ | จึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข... |
...นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก | เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิศมัย |
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย | ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอย |