ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย | พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน |
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ | ไปเมืองเพชรบุรินถิ่นสถาน |
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ | อธิษฐานถึงคุณกรุณา |
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ | ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา |
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา | แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อย |
คได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศ | ขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย |
ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอย | เป็นหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง |
ถึงวัดพลับลับลี้เป็นที่สงัด | เห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง |
เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้อง | มาถึงคลองบางลำเจียกสำเหนียกนาม... |
...ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม | คิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย... |
ค ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก | ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข... |
...ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์ | ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน.. |
...ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี | มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา... |
...จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเป็นเขตสวน | มะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว |
พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้ | หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละออง |
ค โอ้รื่นรื่นชื่นเชยที่เคยหอม | เคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง |
ถึงบางหว้าอารามนามจอมทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม |
สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง | เป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม |
ในพระโกศโปรดปรานประทานนาม | โอรสราชอารามงามเจริญ |
มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึก | กุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ |
ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลิน | จนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน... |
ค บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิต | พอป้องปิดเป็นหลังคานิจจาเอ๋ย... |
ค ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา | ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง... |
ค ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่ม | เป็นเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล... |
ค ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อ | เขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน |
อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน | แต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟัง |
ค ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้าย | เป็นรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง |
ถูกทะลุปรุไปแต่ไม่พัง | แต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน... |
...ด้วยที่นี่เคยตั้งโขลนทวาร | ได้เบิกบานประตูป่าพนาลัย |
ค โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่า | กำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล... |
...โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอก | เห็นแต่กกกอปรงเป็นพงไสว |
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบ | เรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง |
เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเคี้ยว | เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง |
หริ่งหริ่งแหร้แม่ม่ายลองไนเรียง | แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวญ |
เหมือนดนตรีปีป่าประสายาก | ทั้งสองฟากฟังให้อาลัยหวน... |
ค ถึงศรีษะกระบือเป็นชื่อบ้าน | ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง |
ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพาลเกรง | ให้วังเวงวิญญาเอกากาย... |
...ถึงศรีษะละหานเป็นย่านร้าย | ข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน |
ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถาม | โคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น... |
...ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด | ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ |
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ | เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน |
ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษ | มีอาวาสวัดวาที่อาศัย |
ออกชะวากปากชลามหาชัย | อโณทัยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุ |
ค ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่น | นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน |
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลน | ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า |
หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้าย | แสนสบายบังลมร่มรุกขา |
บรรดาเรือหนือใต้ทั้งไปมา | คอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว |
บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง | บ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว |
เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว | เหมือนเสียงส้าวเกาะโกร่งที่โรงงาน |
ค เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ | มาคอยขอโภชนากระยาหาร |
คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน | ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว |
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย | กระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว |
บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว | ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลย |
ค โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร | เพราะแสนสุคเสนหานิจจาเอ๋ย |
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย | กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู |
แต่ลิงใหญ่อ้ายทะโมนมันโลนเหลือ | จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู |
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ | ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว |
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร | ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว |
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว | กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตา |
ค ได้ชมเล่นเห็นแต่นกวิหคกลุ้ม | เที่ยวดุ่มดุ่มเดินดินกินมัจฉา |
กลางสมุทรผุดโผล่ล้วนโลมา | ดูหน้าตาแต่ละตัวน่ากลัวเกรง |
ล้วนหัวบาตรวาดหางไปกลางคลื่น | ศีรษะลื่นเลี่ยนโล่งดูโจ่งเหม่ง |
ดูมากมายหลายอย่างยิ่งวางเวง | จนน้ำขึ้นครื้นเครงเป็นคราวเรือ |
บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่า | บ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ |
บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือ
เป็นประมงหลงละโมบด้วยโลภลาภ |
ต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน
ไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สีน |
ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตีน | ตะกายปีนเลนเล่นอยู่เป็นแปลง |
ค ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก | ทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง |
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง | เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด |
ถึงบ้านบ่อกอจากมิอยากสิ้น | เหมือนจากถิ่นท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต |
อันใบจากรากกอไม่ขอคิด | แต่ลูกชิดชอบใจจะใคร่ชม |
ค ถึงคลองนี่อีรำท่าแร้งเรียก | สุดสำเหนียกที่จะถามความปฐม |
เขาทำน้ำทำนาปลาอุดม | เป็นนิคมเขตบ้านพวกพรานปลา |
ที่ปากคลองกองฟืนไว้ดื่นดาษ | ดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา |
ถึงบางขวางข้างซ้ายชายชลา | ไขคงคาขังน้ำไว้ทำกลือ |
หรือบ้านนี้ที่เขาว่าตำราร่ำ | ช่างปั้นน้ำเป็นตัวน่ากลัวเหลือ |
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือ | ล้วนรกเรื้อรำเริงเป็นเซิงซุ้ม |
ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า | ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม |
เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม | ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม |
ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม | มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม |
เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม | บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน |
โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะ | เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน |
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน | เป็นเพศพันธุ์ได้ผัวเพราะมัวเมา |
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ | เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา |
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ |
อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย
เมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย |
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย | ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ |
สมเพชสัตว์ทัศนาพฤกษาสล้าง | ล้วนโกงกางกุ่มแกมแซมแสม |
สงัดเหงาเปล่าเปลี่ยวเมื่อเหลียวแล | เสียงแอ้แจ้จักจั่นหวั่นวิญญา |
ค ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง | ชะวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา... |
ค ถึงปากช่องคลองชื่อสุนัขหอน | ทั้งเรือแพแลสลอนเสลือกสลน |
ต่างแข็งข้อถ่อค้ำที่น้ำวน | คงคาข้นขุ่นตื้นแต่พื้นเลน |
เข้ายัดเยียดเสียดแทรกบ้างแตกหัก | บ้างถ่อผลักอึดอัดขัดเขมร |
บ้างทุ่มเถียงเสียงหญิงขึ้นเกนเกน | ล้วนโคลนเลนเปื้อนเปราะเลอะทั้งตัว... |
...ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประ | เสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ |
ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำขแยะ | มันเกาะแกะกันจริงจริงหญิงกับชาย |
ค จนตกทางบางสะใภ้ครรไลล่อง | มีบ้านช่องซ้ายขวาเขาค้าขาย |
ปลูกทับทิมริมทางสองข้างราย | ไม่เปล่าดายดกระย้าทั้งตาปี |
บ้างดิบห่ามงามงอมจนค้อมกิ่ง | เป็นดอกติ่งแตกประดับสลับสี |
บ้างแตกร้าวพราวเม็ดเพชรโนรี | เขาขายดีเก็บได้ใส่กระเชอ |
มาตั้งขายฝ่ายเจ้าของไม่ต้องถือ | เห็นเรือล่องร้องว่าซื้อทับทิมเหนอ |
จะพูดจาคารวะทั้งคะเออ | เสียงเหน่อเหน่อหน้าตาน่าเอ็นดู... |