ค ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย |
บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงราย | ดูวุ่นวายวิ่งไขว่กันใหญ่น้อย |
ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอก | กระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย |
ลูกค้ารับนับกันเป็นพันร้อย | ปลาเล็กน้อยขมงโกรยโกยกระบุง... |
ค พอออกช่องล่องลำแม่น้ำกว้าง | บ้านบางช้างแฉกแขไปแควขวา |
ข้างซ้ายตรงลงทะเลพอเวลา | พระสุริยามืดมัวทั่วแผ่นดิน |
ดูซ้ายขวาป่าปะโลงหวายโป่งเป้ง | ให้วังเวงหวั่นไหวฤทัยถวิล |
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน | ไปหากินแล้วก็พากันมารัง |
บ้างเคียงคู่ชูคอเสียงซ้อแซ้ | โอ้แลแลแล้วก็ให้อาลัยหลัง |
แม้นร่วมเรือนเหมือนนกที่กกรัง | จะได้นั่งแนบข้างเหมือนอย่างนก... |
...จนเรือออกนอกอ่าวดูเปล่าโว่ง | ทะเลโล่งแลมัวทั่ววิถี |
ไม่เห็นหนสนธยาเป็นราตรี | แต่ลมดีดาวสว่างกระจ่างตา |
สำรวลรื่นคลื่นราบดังปลาบเรี่ยม | ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา |
ดาวกระจ่างพรายพร่างกลางนภา | แสงคงคาเค็มพราวรางกับพลอย |
เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่ม
เป็นหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอย |
แลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย
ตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย |
ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึก | หวนรำลึกแล้วเสียดายไม่วายโหย |
แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดย | ทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น |
จะเพลินชมยมนาเวหาห้อง | เช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น |
ทะเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็น | ดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม... |
...ด้วยมืดค่ำสำคัญที่นั่นแน่ | เรียกแสมตายห่าพฤกษาโกร๋น |
ลำพูรายชายเลนดูเอนโอน | วายุโยนยอดระย้าริมสาคร |
หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง | ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร |
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร | ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา |
ค ถึงคลองช่องล่องเลียบเงียบสงัด | เห็นเมฆกลัดกลางทะเลบนเวหา |
เสียงโครมครื้นคลื่นกระทั่งฝั่งชลา | ลมสลาตันดังหึ่งหึ่งฮือ |
นาวาเหเซหันให้ปั่นป่วน | ต้องแจวทวนท้ายหันช่วยกันถือ |
ถึงสี่แจวแล้วเรือยังเหลือมือ | ลมกระพือพัดโงงดูโคลงเคลง |
ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่น | โอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง... |
...ยิ่งแจวทวนป่วนปั่นยิ่งหันเห | ลมทะเลเหลือจะต้านทานไม่ไหว |
เสียงสวบเสยเกยตรงเข้าพงไพร | ติดอยู่ใต้ต้นโกงกางแต่กลางคืน |
พอจุดเทียนเชี่ยนขันน้ำมันคว่ำ | ต้องวิดน้ำนาวาไม่ฝ่าฝืน |
เสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมชื้น | เหลือแต่ผืนผ้าแพรของแม่น้อง... |
ค เขาหลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท | พี่นี้คิดใคร่ครวญจนจวนสว่าง |
เสียงนกร้องซ้องแซ่ครอแครคราง | ทั้งลิงค่างครอกโครกละโอกโอย |
เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สาน | วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย |
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย | ชะนีโหยหาคู่มิรู้วาย... |
...จนรุ่งแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น | ต้องค้างคืนติดป่าพากันสรวล |
จะเข็นค้ำล้ำเหลือเป็นเรือญวน | พอเห็นจวนน้ำขึ้นค่อยชื่นใจ |
ต้นแสมแลดูล้วนปูแสม | ขึ้นไต่แต้ต้นกิ่งวิ่งไสว |
เขาสั่นต้นหล่นผอยผลอยผลอยไป | ลงมุดใต้ตมเลนเห็นแต่ตา... |
...พอลอยลำน้ำมากออกจากป่า | ได้แอบอาศัยแสมอยู่แต่ดึก |
ในดงฟืนชื่นชุ่มทุกพุ่มพฤกษ์ | ผู้ใดนึกฟันฟาดให้คลาดแคล้ว |
แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่อง | ไปตามร่องน้ำหลักปักเป็นแถว |
ข้ามยี่สานบ้านสองพี่น้องแล้ว | ค่อยคล่องแคล่วเข้าชะวากปากตะบูน |
น้ำยังน้อยค่อยค้ำพอลำเลื่อน | ไม่มีเพื่อนรือประหลาดช่างขาดสูญ |
ในคลองลัดทัศนายิ่งอาดูร | เป็นดินพูนพานจะตื้นแต่พื้นโคลน |
ป่าปะโลงโกงกางแกมแสม | แต่ล้วนแต่ตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น |
ตลอดหลามตามตลิ่งล้วนลิงโลน | อ้ายทะโมนนำหน้าเที่ยวคว้าปู |
ครั้นล้วงขุดสุดอย่างเอาหางยอน | มันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู |
เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรู | ลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต |
ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่อง | ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่ |
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ | อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา |
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง | ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา |
เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา | ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป |
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด | เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน |
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ | ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา... |
ค จนออกช่องคลองบางตะบูนใหญ่ | ล้วนป่าไม้ตีนเป็ดเสม็ดแสม |
นกกะลางยางกรอกรอกกระแต | เสียงซ้อแซ้สองข้างทางกันดาร |
ค ถึงที่วังตั้งประทับรับเสร็จ | มาทรงเบ็ดกะโห้ไม่สังหาร |
ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน | แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา |
แต่เดี๋ยวนี้ที่วังก็รั้งร้าง | เป็นรอยทางทุบปราบราบรุกขา |
ยังแลเลี่ยนเตียนดีที่พลับพลา | นึกระอาอนิจจังไม่ยั่งยืน |
เดิมเป็นป่ามาเป็นวังตั้งประทับ | แล้วก็กลับไปเป็นป่าไม่ฝ่าฝืน |
เหมือนมียศลดลงไม่คงคืน | นึกสะอื้นอายใจมาในเรือ |
ค ถึงบางหอหอใคร่ที่ไหนหนอ | มาปลูกหอเสนหาในป่าเสือ |
อันย่านนี้ที่บนบกก็รกเรื้อ | ทั้งทางเรือจระเข้ก็เฉโก |
ถึงวังสาวชาวสวรรค์ฉันไม่อยู่ | จะโศกสู้เอกาอนาโถ |
ด้วยพรั่นตัวกลัวเสือก็เหลือโซ | เห็นแต่โพทะเลจระเข้ลอย |
ทั้งเหลืองดำคร่ำคร่าล้วนกล้าแกล้ว | จนเรือแจวจวนใกล้มิใคร่ถอย |
ดูน่ากลัวตัวใหญ่มิใช่น้อย | ต่างคนคอยภาวนาอุตสาห์สำรวม |
เห็นนกบินกินปลาล้วนน่ารัก | นกปักหลักลงน้ำเสียงต้ำป๋วม |
นกระเต็นเต้นตามนกกามกวม | กับเหี้ยต้วมเตี้ยมต่ายตามชายเลน |
ค ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท | มีอาวาสวัดวามหาเถร |
มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ | พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ |
กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้ | จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์พิษฐาน |
เขานับถือลืออยู่แต่บุราณ | ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน |
ขึ้นลานวัดทัศนาดูอาวาส | ศิลาลาดเลียบเดินเนินสิงขร |
พฤกษาออกดอกช่ออรชร | หอมขจรจำปาสารภี |
ต้นโพไทรไม้งอกตามซอกหิน | อินทนิลนางแย้มสอดแซมสี |
เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรี | สุมาลีหล่นกลาดดูดาษดิน |
ได้ชมเพลินเดินมาถึงหน้าโบสถ์ | สมาโทษถือเทียนเวียนทักษิณ |
เคารพสามตามกำหนดหมดมลทิน | กับหนูนิลหนูพัดเข้ามัสการ |
ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์ | ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน... |
ค แล้ววันทาลาเลียบลงเหลี่ยมเขา | พอบังเงาแดดร่มทั้งลมตก |
ออกนาวามาทางบ้านบางครก | มะพร้าวดกดูสล้างสองข้างคลอง |
มีส้มสูกลูกไม้เหมือนในสวน | ตลอดล้วนเรียงรายเรียกขายของ |
ขาเลียนล้อต่อถามตามทำนอง | ได้ยิ้มย่องนิดหน่อยอร่อยใจ |
จนเรือออกนอกชะวากปากบางครก | ต้องเลี้ยววกไปตามลำแม่น้ำไหล |
เป็นถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไร | เขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง |
แต่พักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้า | ฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง |
ล้วนเลี้ยงวัวทั่วถิ่นได้กินแรง | แต่เสียงแปร่งเปรี้ยวหูไม่รู้กลัว |
เจ้าสำนวนชวนตีแต่ฝีปาก | พูดด้วยยากชาวบางกอกจนกลอกหัว |
แสนแสงอนค้อนว่าค่อนด่าวัว | เขาตัดหัวแขวนห้อยร้อยประการ |
ล้วนแช่งซ้ำล้ำเหลืออ้ายเสือขบ | ลำเลิกทบทวนชาติเสียงฉาดฉาน |
อ้ายวัวเฒ่าเขาล้มคือสมภาร | มันขี้คร้านทดข้าวเขาจึ่งแทง |
ค ถึงบ้านใหม่ไถ่ถามตามสงสัย | ว่ายังไกลอยู่หรือบ้านท่านขุนแขวง |
ไม่บอกก่อนย้อนถามเป็นความแคลง | จะพายแรงหรือว่านายจะพายเบา |
ถ้าพายหนักสักครู่หนึ่งก็ถึงดอก | สำนวนนอกน้ำเพชรแล้วเข็ดเขา |
บ้างโห่ฉาวกราวเกรียวเกี่ยวข้าวเบา | บ้างตั้งเตาเคี่ยวตาลพานอุดม |
ค ถึงบางกุ่มหนุ่มแก่สาวแซ่ซ้อง | มีบ้านสองฟากข้ามนามประถม |
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านสะท้านยายนม | น่าใคร่ชมชื่นจิตคิดรำพึง |
อย่างไรหรือชื่อเช่นนั้นขันหนักหนอ | หรือแกล้งล้อจะให้นึกรำลึกถึง |
ถึงบ้านโพโอ้นึกไปลึกซึ้ง | เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร |
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่ | สถิตที่ทับนาพออาศัย... |
ค ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาค | เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย |
มารดาจ้าวคราวพระวังหลังครรไล | มาทำไร่ทำนาท่านการุญ... |