ค ถึงอารามนามที่กุฎีทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร |
ริมอารามข้ามน้ำทำตะพาน | นมัสการเดินมาในวารี |
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อย | ตะวันคล้อยคล้ำฟ้าในราศี |
ค่อยคล่องแคล่วแจวรีบถึงพริบพรี | ประทับที่หน้าท่าพลับพลาชัย |
ด้วยวัดนี้ที่สำหรับประทับร้อน | นรินทรท้าวพระยามาอาศัย |
ขอเดชะอานุภาพช่วยปราบภัย | ให้มีชัยเหมือนเช่นนามอารามเมือง |
ดูเรือแพแซ่ซ้องทั้งสองฟาก | บ้างขายหมากขายพลูหนวกหูเหือง |
นอนค้างคืนตื่นเช้าเห็นชาวเมือง | ดูนองเนืองนาวาบ้างมาไป |
ค ได้เยี่ยมเยือนเรือนบ้านท่านขุนแพ่ง | มาปลูกแปลงแปลกกว่าเมื่ออาศัย |
ด้วยศึกลาวคราวนั้นเธอบรรลัย | ไม่มีใครครอบครองจึงหมองมัว... |
...โอ้อกเอ๋ยเคยสำราญอยู่บ้านนี้ | ได้ฟังปี่พาทย์เพราะเสนาะเสียง |
ทั้งหญิงชายฝ่ายเพื่อนริมเรือนเรียง | เคยพร้อมเพรียงเพรางายสบายใจ... |
ค แล้วอำลาอาลัยใจจะขาด | จำนิราศแรมร้างห่างสถาน |
ลงเรือจอดทอดท่าหน้าตะพาน | แสนสงสารศิษย์หาออกมาอึง... |
ค แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่ | ยังรักใคร่ครองจิตสนิทสนม... |
ค โอ้คิดถึงพึ่งบุญท่านขุนแพ่ง | ไปหน้าแล้งรับแขกแรกวสันต์ |
ตำข้าวเม่าเคล้าน้ำตาลทั้งหวานมัน | ได้ช่วยกันคั้นขยำน้ำกะทิ |
เขาไปเที่ยวเกี่ยวข้าวอยู่เฝ้าห้อง | เหมือนพี่น้องนึกโอ้อโหสิ... |
ค แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่ | ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน |
พอวันนัดซัดน้ำเขาทำบุญ | เห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ |
เขาว่าน้องของเราเป็นเจ้าสาว | ไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ |
เหมือนจุดใต้ว่ายน้ำมาตำตอ | เสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ... |
...พอวันพระศรัทธาพากันไป | เที่ยวแวะไหว้พระอารามตามกำลัง |
สาธุสะพระนอนสิงขรเขา | พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง |
ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์ | ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย |
พระเนตรหลับทับพระบาทไสยาสน์เหยียด | อ่อนละเอียดอาสนะพระเขนย |
พระเจ้างามยามประทมน่าชมเชย | ช่วยรำเพยพัชนีนั่งวีลม |
แล้วนึกว่าหน้าหนาวมาคราวนี้ | ถึงแท่นที่พระสถิตสนิทสนม |
ยังมีแต่แพรหอมถนอมชม | ได้คลี่ห่มอุระพระประธาน... |
ค แล้วลดเลี้ยวเที่ยวไปบันไดอิฐ | ต่างเพลินพิศเพิงผารุกขาเขา |
จิกจันทน์แจงแทงทวยกรวยกันเกรา | โมกข์แมงเม่าไม่งอกซอกศิลา |
เหล่าลั่นทมยมโดยร่วงโรยกลิ่น | ระรวยรินรื่นรื่นชื่นนาสา |
โบสถ์วิหารลานวัดทัศนา | ล้วนศิลาแลสะอาดด้วยกวาดเตียน |
มีกุฎีที่พระสงฆ์ทรงสถิต | พฤกษาชิดชั้นไผ่เหมือนไม้เขียน |
น่าสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดินเวียนวงรอบขอบคีรี |
ค พอแดดร่มลมชายสบายจิต | เที่ยมชมทิศทุ่งทางกลางวิถี |
ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี | เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล |
ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ | มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร |
พะโองยาวก้าวตีนปีนทะยาน | กระบอกตาลแขวนก้นคนละพวง |
แต่ใจดีที่ว่าใครเข้าไปขอ | ให้กินพออิ่มอุทร บ ห่อนหวง |
ได้ชื่นฉ่ำน้ำตาลหวานหวานทรวง | ขึ้นเขาหลวงเลียบบเดินเนินบันได |
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | รุกขชาติช่อดอกออกไสว |
บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัย | ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง |
ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง | เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง |
เวียนประเวศเกษราบุปผาพวง | ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจง |
ค โอ้อกน้องท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต | ไม่มีมิตรที่จะชมสมประสงค์ |
กับหนูน้อยพลอยเพลินเที่ยวเดินวง | ขึ้นถึงองค์พระเจดีย์บนคีริน |
ต่างเหนื่อยบอบนอบน้อมอยู่พร้อมพรั่ง | บ้างหยุดนั่งเอนนอนบนก้อนหิน |
เห็นประเทศเขตแคว้นในแดนดิน | มีบ้านถิ่นทิวไม้ไรไรราย |
คีรีรอบขอบเขื่อนดูเหมือนเมฆ | แลวิเวกหวาดหวั่นยิ่งขวัญหาย |
เห็นทะเลเคหาหน้าหาดทราย | ดูเรียงรายเรี่ยเรี่ยเตี้ยติดดิน |
ได้ชมเพลินเมินมุ่งดูทุ่งกว้าง | มีแถวทางเถื่อนท่าชลาสินธุ์ |
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | บ้างโบยบินว้าว่อนบ้างร่อนเรียง |
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวร้อง | ประสานซ้องสกุณาภาษาเสียง |
กินปลีเปล้าเขาไฟจับไม้เรียง | กรอดเคียงคู่กรอดแล้วพลอดเพลิน |
รอกกระแตแลโลดกระโดดเล่น | กระต่ายเต้นตามลำเนาภูเขาเขิน |
ที่ทุ่งหว้างกลางหนเห็นคนเดิน | หาบน้ำตาลคานเยิ่นหยอกเอินกัน |
ทั้งล้อเกวียนเดียรดาษดูกลาดเกลื่อน | ทุกถิ่นเถื่อนทุ่งแถวแพ้วจังหัน |
โสมนัสทัศนาจนสายัณห์ | แล้วพากันเข้าในถ้ำน่าสำราญ |
ค มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียด | คนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร |
พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวราน | โอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย |
ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำ | โอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย |
ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชย | ต่างแหงนเงยชมชะง่อนก้อนศิลา |
เป็นลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับ | แลสลับเลื่อนคล้ายลายเลขา |
กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้า | ดาษดาดูดูดังพู่พวง... |
...เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อย | ดูผอยผอยเผาะลงที่ตรงหลุม |
เป็นไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแข็งคุม | เป็นหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดี |
ค แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม | บ้างงอกเงือมเงาระยับสลับสี |
เป็นห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมี | คิดถึงปีเมื่อเป็นบ้าเคยมานอน |
ชมลูกจันทน์กลั่นกลิ่นระรินรื่น | จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน |
เห็นห้องหินศิลาน่าอาวรณ์ | เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี |
พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง | เรไรซ้องเสียงจังหรีดดังดีดสี... |
...จึงเขียนกล่อนนอนค้างไว้ต่างพักตร์ | หวังประจักษ์มิ่งมิตรพิสมัย |
จงภิญโญโมทนาให้อาภัย | อย่าน้อยใจเลยถ้ำขออำลา |
ค แล้วลัดออกนอกลำเนาภูเขาหลวง | ดูเด่นดวงเดือนสว่างกลางเวหา |
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างที่กลางนา | เสียงปักษาเพรียกพลอดบนยอดตาล |
มาตามทางหว่างโตนดลิงโลดจิต | แต่พวกศิษย์แสนสุขสนุกสนาน |
เห็นกระต่ายไล่โลดโดดทะยาน | เสียงลูกตาลกรากตึงตะลึงแล |
ต่างชิมชมดมเดินเจริญรื่น | เที่ยวชมชื่นเขตแขวงด้วยแสงแข |
ต่างลดเลี้ยวเที่ยวเด็ดดอกแคแตร | ได้เห็นแต่นกน้อยต้อยติวิด |
สักสองยามตามทักล้วนปักษา | เสียงแจ้วจ้าจ้อยเจียวเตี๋ยวเตี๋ยวติด |
โอ้ฟังฟังหวังสวาทไม่ขาดคิด | ช่างไม่ผิดเสียงสาวชาวพริบพรี |
ค แล้วเลี้ยวลงตรงหน้าวัดพระธาตุ | พอเดือนคลาดคล้อยจำรัสรัศมี |
ดูพระปรางค์กลางอารามก็งามดี | แต่ไม่มีเงาบ้างเป็นอย่างไร |
สาธุสะพระมหาตถาคต | ยังปรากฏมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส |
พอไก่ขันวันทาลาครรไล | ลงเรือใหญ่ล่องมาถึงธานี |
ค จึงจดหมายรายความตามสังเกต | ถิ่นประเทศแถวทางกลางวิถี |
ให้อ่านเล่นเป็นเรื่องเมืองพริบพรี | ผู้ใดมีคุณก็ได้ไปแทนคุณ |
ทั้งผ้าหอมย้อมเหลืองได้เปลื้องห่ม | พระประทมที่ลำเนาภูเขาขุน |
กุศลนั้นบรรดาที่การุญ | รับส่วนบุญเอาเถิดท่านที่อ่านเอย ฯ |