ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด | พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ |
ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน | พัลวันเกะกะเอะอะอึง |
จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด | ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง |
ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง | พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา |
ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก | ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา |
ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา | ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย |
เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม | ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย |
ชมทะเลเมฆาจนตาลาย | ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง |
เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ | เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง |
ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง | ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม |
เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด | ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์ |
ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ | อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ |
รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส | พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว |
เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป | จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ |
ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย | ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน |
กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน | แสนรำคาญคิดไปใจระบม |
ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย | จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา |
มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา | เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล |
มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง | ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน |
ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ | เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล |
ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่ | พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร |
มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร | ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย |
พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ | ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย |
ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย | ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา |
สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์ | หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา |
มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา | เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร |
ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง | เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร |
สุริยาลงลับยุคนธร | พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย |
น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ | ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย |
เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย | ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง |
ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา | เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์ |
ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน | จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ |
ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ | ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง |
บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง | ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู |
ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน | ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู |
ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู | บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง |
บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก | ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง |
ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง | ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม |
ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ | มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม |
เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม | พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป |
ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศ | ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร |
ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน | ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร |
เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น | ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส |
ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล | เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ |
แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก | ราวกับนกบินเตร่บนเวหา |
ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล |
ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด | นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน |
พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล | จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา |
กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่ | มีทองแต่โบราณนานหนักหนา |
บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา | ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง |
เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ | ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง |
ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง | ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา |
บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง | ราคาสูงสมสีดีหนักหนา |
พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา | แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ |
รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว | ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว |
เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร | พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน |
เป็นเมืองริมวารีกะจีริด | นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน |
ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล | ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก |
โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่ | จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์ |
แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก | มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ |
ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย | เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย |
ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย | เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป |
เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ | ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว |
พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป | แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา |
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา | ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา |
แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา | ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี |
เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม | น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี |
ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี | ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย |
ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก | แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย |
กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย | ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย |
เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ | อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส |
โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ | ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง |
ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ | หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน |
ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร | ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร |
ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก | มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร |
บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน | แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง |
บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก | ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์ |
ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง | ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน |
ถึงไชยาธานีบุรีสถาน | เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร |
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร | สถาพรพูนสุขสนุกสบาย |
ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน | ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย |
เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย | บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง |
บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด | ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง |
ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง | นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล |
สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร | ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล |
ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ | แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย |
แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท | พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย |
เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร |
มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก | ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน |
ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน | อรชรช่อผลระคนใบ |
เกตระกำอำพาจำปาดะ | ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว |
สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป | มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน |
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน | นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์ |
โทมนัสทัศนาดูวาริน | ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร |
รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ | เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม |
ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม | ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา |
ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน | ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา |
ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา | ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง |
พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ | ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง |
พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง | นายระวางพูดจาปรึกษากัน |
ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ | ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์ |
เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน | จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย |
ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด | เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย |
ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย | ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ |
เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย | ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์ |
ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ | ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล |
ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย | ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์ |
เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน | แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ |
บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง | ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน |
ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน | เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ |
เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก | แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ |
ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ | พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี |
ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ | เห็นสวะติดวนวารีศรี |
ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี | ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว |
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา | หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว |
จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว | แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง |
จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด | คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง |
มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง | อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป |
พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ | ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ |
ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง | รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล |
เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป | มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา |
ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง | แลตะลึงลานจิตพินิจหา |
ดูรกนักหักพังเป็นรังกา | อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา |