ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ | ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน |
มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ | โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน |
สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด | ปฏิบัติสิกขาหากุศล |
เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ | อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี |
พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด | อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์ |
แต่อายุยังไม่ครบประจบปี | ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา |
รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ | เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน |
ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร | ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว |
มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง | เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว |
ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว | ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร |
พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง | ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน |
มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน | ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม |
ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด | น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม |
พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม | แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน |
พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด | เดียรดาษแวววามงามไสว |
เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป | ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์ |
ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก | มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา |
พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา | เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย |
แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ | เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย |
เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย | วิไลลายทองทาบดูปลาบตา |
ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง | ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา |
เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา | ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง |
พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง | มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง |
หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง | แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ |
บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น | แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน |
เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน | ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง |
ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก | น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง |
เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง | บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ |
บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง | บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย |
บ้างก็แบกปืนผาพากันไป | ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง |
แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า | รินสุราดื่มดังฟังแสยง |
ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง | หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ |
ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง | เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์ |
เขาว่าเสือชุมนักมักราวี | ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน |
บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ | เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข |
ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน |
อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง | ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์ |
สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน | หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง |
ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา | พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง |
มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง | ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว |
เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น | มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว |
ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว | ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ |
ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง | กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ |
กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ | เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง |
เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ | ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง |
แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง | ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน |
พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต | ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน |
บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน | ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล |
บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น | เสียงสนั่นเฮฮามาไสว |
ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ | คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง |
เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน | ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์ |
หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน |
เหล่านักเลงสุราหากระบอก | เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน |
แบกกระบอกสุราพากันเดิน | พูดหยอกเอินกันตามความสบาย |
แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข | มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย |
ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย | พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ |
ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ | มีธารน้ำศาลาที่อาศัย |
ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย | ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ |
ใครไปมาหาของกองคำนับ | อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ |
ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ | ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย |
ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก | ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย |
จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย | ขอฝากกายอาศัยในศาลา |
แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก | มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา |
ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา | พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว |
ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย | เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว |
เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว | ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ |
จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง | กระจ่างดวงสุริยาในราศรี |
ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที | อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร |
บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง | มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว |
แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย | กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง |
เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง | ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์ |
ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง | ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล |
ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ | ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน |
อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล | ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน |
พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน | จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน |
เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน | มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย |
ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ | เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล |
ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง |
มีสำเภาเลากามาค้าขาย | ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง |
มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง | ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย |
ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก | ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย |
พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย | มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน |
บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง | ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน |
เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน | พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู |
กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง | ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู |
ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู | ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน |
พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ | ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน |
พี่พาชายชาวในออกไปปน | ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน |
ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู | ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ |
ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน | หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน |
แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช | ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย |
อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย | สู้อดใจราวกับพระชนะมาร |
พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น | แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล |
เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน | ก็คิดอ่านไปชมยมนา |
เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง | แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา |
พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา | ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง |
ไปตามทางข้างทิศตะวันตก | ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์ |
ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง | ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร |
ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง | เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล |
มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป | ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี |
สารพัดผักปลาในสาคเรศ | ปทุมเมศดอกประดับสลับสี |
ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี | พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา |
ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง | ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา |
เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา | ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน |
เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า | ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์ |
มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล | ประชาชนหญิงชายสบายบาน |
ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก | ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน |
สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล | ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน |
พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน | มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์ |
ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน | พี่ผันผินทัศนาชลาลัย |
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง | กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว |
พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ | ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ |
สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ | บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน |
จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ | ผุดขนานแน่นหนาในสาคร |
ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน | ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน |
กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร | เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล |
มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน | เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน |
มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล | ระคนปนกรวดทรายชายชลา |
ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย | มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา |
มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา | ดาษดาดีดีสีต่างกัน |
บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง | บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน |
บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ | ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม |
ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง | เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี |
ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี | เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง |
ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก | หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา |
พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา | พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร |
พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา | ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน |
เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป | ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน |
ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง | ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน |
ดูไสวใบบังพระสุริยน | เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา |
พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง | ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา |
ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา | กระลำภาโกฐสอสมอไทย |
หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ | กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล |
ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร | มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา |
เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด | ปักษาชาติจิกกินบินถลา |
นกโนรีสีแดงดังชาดทา | มยุราลงเดินบนเนินทราย |
กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน | จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย |
กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย | เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง |
ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน | บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง |
บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง | แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร |
บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก | แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร |
พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร | ทินกรเลื่อนลับลงกับชล |
มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท | ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร |
พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ | ประณมกรอภิวาทบาทบงส์ |
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม | รินน้ำหอมปรายประชำระสรง |
แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง | เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา |
ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด | ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์ |
ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน | ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ |
พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ | ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน |
พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา |
บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก | พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา |
บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา | ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน |
อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด | ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์ |
แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน | บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย |
บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ | ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย |
พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย | เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป |
บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น | มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย |
บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย | เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา |
ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง | ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา |
เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา | กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป |
เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน | ในกลางย่านยมนาชลาไหล |
แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ | แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ |
ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ | ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร |
นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน | แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา |
ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ | พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา |
ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา | ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย |