| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
ไอ้คุณ
ไอ้คุณเป็นตัวตลกในหนังตะลุง มีบทบาทสำคัญทั้งต่อผู้ชมและนายหนัง ทำให้เกิดอารมณ์ขันสะท้อนภาพสังคมในท้องถิ่น
ตัวตลกของหนังตะลุงชุมพร มีทั้งที่เป็นตัวตลกทั่วไป ได้แก่ นายสีแก้ว นายยอดทอง
นายเท่ง นายหนูนุ้ย ฯลฯ และที่เป็นตัวตลกเฉพาะถิ่นมีทั้งชายและหญิง ที่เป็นชายได้แก่
ไอ้กลั้ง ไอ้ทอง ไอ้ร้อย ไอ้แตน ไอ้เดน ไอ้นุ้ย ไอ้แผลน ไอ้ต่าย ไอ้โรย ไอ้คุณ
ไอ้เค ไอ้แก้ว ไอ้เหว่า ไอ้เพลื้อย ไอ้ผลับ มีตัวสอดแทรกเช่น ลาวพรรรณ ไอ้จีนจ้ง
ไอ้ดิก ไอ้ปราม ไอ้เคลิ้ม ไอ้วก ไอ้พลูด ตัวตลกหญิงได้แก่ กิ้มโจง กิ้มม้าย
น้ำอ้อย กิ้มปล่อง หรือกากิ้มโพล่ง บัวบก
ตัวตลกหนังตลุง มักจำลองมาจากคนจริง ๆ มีประวัติที่มา
บุคคลสำคัญ
พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประสูติเมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๓ พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
ในปี พ.ศ.๒๔๓๖ ได้เสด็จเข้าศึกษาวิชาการ ณ ประเทศอังกฤษ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
และทรงศึกษาต่อในวิชาการทหารเรือ จากโรงเรียนนายเรืออังกฤษ เมื่อเสด็จนิวัติสู่สยาม
ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงพระยศนายเรือโท และต่อมาได้เป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
ถึงปี พ.ศ.๒๔๖๐
ในปี พ.ศ.๒๔๔๗ ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม
มีพระนามว่าพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ
ทรงดำริถึงการปรับปรุงกิจการทหารเรือสยามให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล โดยทหารเรือสยามควรปฎิบัติงานแทนนายทหารเรือต่างชาติที่ว่าจ้างไว้ได้
ในปี พ.ศ.๒๔๔๘ ทรงกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เพื่อขอระราชทานที่ดินเพื่อตั้งโรงเรียนนายเรือที่บริเวณพระราชวังเดิม
ฝั่งธนบุรี พระองค์ทรงฝึกสอนทหารเรือด้วยพระองค์เอง ทรงนำนักเรียนนายเรือไปฝึกปฎิบัติการทางทะเลในน่านน้ำต่างประเทศ
เช่น สิงคโปร์ ปัตตาเวีย ฟิลิปปินส์
ทรงตั้งโรงเรียนพลทหารเรือเพื่อฝึกอบรมพลทหารเรือในเขตจังหวัดชายทะเล เช่น
สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี เป็นต้น
ทรงขอรับพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อตั้งกองทัพเรือ
ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็น พลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
และในปี พ.ศ.๒๔๖๖ ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
จนกระทั่งพระองค์ประชวร จึงได้กราบบังคมทูลลาออกจากราชการ และเสด็จไปประทับที่หาดทรายรี
ทางใต้ของปากน้ำชุมพร และสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคไข้หวัดใหญ่ในปีเดียวกัน
ด้วยพระปรีชาสามารถและพระเมตตาของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไป ทำให้ทรงเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าทหารเรือ
ชาวชุมพร และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะที่จังหวัดชุมพรได้สร้างศาลของพระองค์ที่บริเวณหาดทรายรี
เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระองค์ที่ทรงมีพระคุณแก่ชาวชุมพร
พระยาเพ็ชรกำแหงสงคราม (ซุ่ย)
เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๘ ได้ดำรงตำแหน่งปลัดเมืองชุมพร และเจ้าเมืองชุมพร มีความสามารถในการรบและการปกครอง
เช่นเป็นผู้นำทหารออกต่อสู้ต้านทานกองทัพพม่า ที่ยกมาตีเมืองชุมพร โดยได้ร่วมทัพกับกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
สามารถตีเมืองชุมพรคืนจากพม่าได้เมื่อปี พศ.๒๓๕๒ จากนั้นได้สร้างวัดราชคฤหัสน์ดาวคะนอง
(วัดชุมพรรังสรรค์ หรือวัดท่าตะเภาเหนือ) เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่รบชนะพม่า
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพร่วมกับอังกฤษไปตีเมืองทวาย
มะริด และตะนาวศรี จากความสามารถดังกล่าว ท่านได้รับพระราชทานรางวัลพิเศษพานทอง
จากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และต่อมาได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อปี
พ.ศ.๒๓๗๕
พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง ณ
ระนอง) เป็นบุตรพระยาดำรงสุจริต ฯ
(คอซูเจียง) ต้นตระกูล ณ ระนอง เริ่มรับราชการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นที่หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ผู้ช่วยเมืองระนอง ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เป็นที่พระยารัตนเศรษฐี เจ้าเมืองระนอง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ และได้รับโปรดเกล้า
ฯ ให้เป็นเทศาภิบาลมณฑลชุมพรคนแรก ในปีเดียวกัน
ท่านได้เริ่มจัดการปกครอง การรักษาความสงบเรียบร้อย การโยธาธิการ ก่อสร้างสถานที่ราชการ
การศึกษา และการศาสนา การภาษีอากร การศาล แลการส่งเสริมอาชีพของราษฎร
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๓๙ - ๒๔๔๔ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่กองควบคุมการก่อสร้างถนน
จากชุมพรไปยังกระบุรี
หลังจากลาออกจากราชการแล้ว ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองระนอง และได้ถึงแก่อนิจกรรม
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๔
พระยาจรูญราชโภคากร (คอซิมเต็ก ณ ระนอง)
เป็นบุตรพระยาดำรงสุจริต (คอซูเจียง) เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๒ ได้ทำการสำรวจหาแร่ดีบุกตลอดเส้นทาง
การค้าขายระหว่างเกาะหมาก และหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกจนถึงตำบลพะโต๊ะ และพระซงในแขวงเมืองหลังสวน
และได้ขออนุญาตเปิดเหมือง ทำการค้าแร่ดีบุก ซึ่งได้สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงเกิดผลประโยชน์แก่บ้านเมืองอย่างมาก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยารัตนเศรษฐีรู้สึกว่าคนชราภาพแล้ว
จึงได้กราบถวายบังคมลาจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองระนอง และได้รับโปรดเกล้า
ฯ ให้เป็นที่พระยาดำรงสุจริต ฯ ตำแหน่งจางวางเมืองระนอง และนายคอซิมเต็กเป็นที่พระจรูญราชโภคากร
ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหลังสวน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๐
ในปี พ.ศ.๒๔๓๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้
ได้เสด็จถึงเมืองหลังสวนเป็นครั้งแรก ทอดพระเนตรเห็นพระจรูญราชโภคากร ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นเพียงพระ
จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้มีบรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาจรูญราชโภคากร
ต่อมา เมื่อมีการจัดการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล พระยาจรูญ ฯ รู้สึกว่าตนอายุมากแล้ว
จึงได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง แล้วไปอยู่บ้านเดิมที่เกาะหมาก ต่อมาป่วยเป็นอัมพาต
และได้ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๐
เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)
เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการคนแรก เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๒ ที่จังหวัดชุมพร เป็นบุตร
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ เริ่มเรียนในสำนักพระอาจารย์แก้ว ที่วัดประยูรวงศาวาส
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๐ ได้ไปทำหน้าที่ล่ามส่วนตัวให้เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์
(วร บุนนาค) ราชทูตที่ออกไปปฏิบัติงาน ณ ทวีปยุโรป
พ.ศ.๒๔๑๑ กลับมารับราชการเป็นราชเลขานุการในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ต่อมาได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นว่าที่เจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ หัวหมื่นมหาดเล็ก
แต่ยังเป็นราชเลขานุการตามเดิม และได้มีส่วนสนองนโยบายใหม่หลายอย่าง ได้แก่
การตั้งสภารัฐมนตรี สภาองคมนตรี
พ.ศ.๒๔๒๒ เป็นราชทูตพิเศษหลายประเทศในยุโรป ต่อมาได้เป็นอธิบดีกรมพระคลังสวนและจางวางมหาดเล็ก
พ.ศ.๒๔๓๐ เป็นราชทูตพิเศษไปประเทศญี่ปุ่น เมื่อกลับมาได้เป็นอธิบดีจัดการกรมภาษีร้อยชักสาม
(กรมศุลกากร) ต่อมาได้เป็นปลัดบัญชีกลาง เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ
และเสนาบดีกระทรวงธรรมการคนแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๕ และได้รับโปรดเกล้า
ฯ ให้เป็ฯที่เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ในปีเดียวกัน นอกจากนั้นยังเป็นองคมนตรีและรัฐมนตรีด้วย
เป็นข้าราชการคนเดียวเท่านั้น ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดคือ
มหาจักรีบรมราชวงศ์
เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๓
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |