| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

โบราณสถาน และโบราณวัตถุ

            งาช้างดำ  ลักษณะเป็นงาปลีออกสีน้ำตาล ส่วนปลายมน มีจารึกอักษรธรรมล้านนาภาษาไทยกำกับไว้ว่า กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน หรือประมาณ ๑๘ กิโลกรัม
            ประวัติความเป็นมาของงาช้างดำกิ่งนี้ มีเป็นตำนานเล่าสืบต่อกันมาในหมู่เจ้านายเชื้อสายเจ้าผู้ครองนคร กล่าวกันว่า ได้มาจากเมืองเชียงตุงแต่ครั้งโบราณ เดิมเก็บรักษาไว้ที่ " หอคำ " หรือวังของเจ้าผู้ครองนคร เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย เจ้านายบุตรหลานได้มอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดินพร้อมกับหอคำในปี พ.ศ.๒๔๗๔

            กำแพงเมืองน่าน  ตัวกำแพงเมืองมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมปลายแหลม ความสูงจากพื้นถึงใบเสมาสองเมตร ใบเสมาทำมุมโค้ง ๖๐ องศษ ส่วนฐานมีช่วงกากบาท ขนาด ๒๐ เซนติเมตร ในทุก ๆ ช่วง ๑.๒๐ เมตร ปัจจุบันยังคงสภาพอยู่และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ จากกรมศิลปากรเป็นแนวกำแพงด้านทิศตะวันตก ยาวประมาณ ๕๐ เมตร

            หอคำ  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ตั้งอยู่ในบริเวณคุ้มของเจ้าผู้ครองนครน่านในอดีตที่เรียกว่า หอคำ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ฯ เจ้าผู้ครองนครน่านทรงสร้างขึ้นเป็นที่ประทับ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๖ ครั้นถึงสมัยพระเจ้าพรหมสุรธาดาเจ้าผู้ครองนครน่านองค์ต่อมา และองค์สุดท้ายถึงแก่พิราลัย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๕ เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้มีคำสั่งยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร บรรดาเจ้านายผู้เป็นบุตรหลาน เจ้าผู้ครองนครน่านได้มอบหอคำ พร้อมที่ดินให้แก่ทางราชการ ต่อมาทางราชการกรมศิลปากรได้ใช้เป็นสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ลักษณะตัวอาคารโอ่โถงงดงาม ก่ออิฐถือปูนตกแต่งด้วยลายไทย ด้านหน้าตัวอาคารประดิษฐานอนุสาวรีย์พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ฯ

            เงินทอกน่าน   เป็นเงินตราตระกูลหนึ่งของอาณาจักรล้านนา ทำด้วยโลหะผสมคือเงินผสมทองแดง รูปร่างคล้ายเปลือกหอย ด้านบนที่นูนขึ้นมานั้นเรียบไม่มีเส้น และมีสีเหลืองแกมน้ำตาลแดงเคลือบจับอยู่ ด้านล่างมีรอยเว้าเข้าไปคล้ายรอยนิ้วมือกด ที่รอบรอยด้านล่างมีรูเล็ก ๆ เจาะไว้เพื่อใช้ร้อยด้วยเชือก

            เงินเจียงน่าน  จัดอยู่ในเงินเจียงของอาณาจักรล้านนา คำว่าเจียงมาจากคำว่าเชียงอันเป็นคำนำหน้าชื่อเมือง เงินเจียงมีลักษณะคล้ายเกือกม้าปลายสอบงอเข้าหากัน บริเวณที่ต่อกันตอกด้วยสิ่วจนคอดกิ่วเกือบขาดจากกัน และมีอักษรย่อ นาน เป็นตราประทับบนเขาเงินเชียง
ภาษาและวรรณกรรม
            จังหวัดน่านมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า ๗๐๐ ปี มีอารยธรรมเคียงคู่กันมากับอาณาจักรสุโขทัย
            กลุ่มคนในจังหวัดน่านนอกจากจะมีภาษาพูดแล้ว ยังมีอักษรใช้เขียนได้แก่อักษรธรรมล้านนา อักษรฝักขาม อักษรไทยนิเทศ (ขอมเมือง) มีการจดเรื่องราวต่าง ๆ เป็นลายลักษณ์อักษร จึงทำให้ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีต่าง ๆ มีการสืบทอดกันมาจนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม มีการจารึกลงในวัสดุต่าง ๆ แต่ที่พบเห็นมากที่สุด ได้แก่ การเขียนลงบนในลานและทับสา เอกสารโบราณเหล่านี้จะเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยใส่ไว้ในหีบธรรม หรือบางทีทางภาคกลางเรียกว่า ตู้พระไตรปิฎก เก็บรักษาไว้ในหอพระไตรปิฎกของวัดทุกวัด ซึ่งเปรียบเสมือนหอสมุดของวัดนั่นเอง หอไตรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดน่าน คือหอไตรวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ฯ เป็นแหล่งที่เก็บเอกสารโบราณของจังหวัดน่านไว้เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าคัมภีร์โบราณ และเอกสารโบราณที่ได้อนุรักษ์ไว้ ๑๒ วัด มีจำนวนคัมภีร์โบราณ ๔,๑๓๒ มัด ๒๖,๗๖๙ ผูก ๖,๐๖๕ เรื่อง แสดงให้เห็นถึงการเรียนการสอนของจังหวัดน่านในอดีตว่า วัดเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนทุกสาขาวิชาที่มีอยู่ในสมัยนั้น
            วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา  ส่วนมากเป็นคัมภีร์ใบลาน วรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดได้แก่ เรื่องวิมานวัตถุอยู่ในหมวดพระสุตันตปิฎก เขียนด้วยอักษรธรรมล้านนา ภาษาบาลี มีอายุกว่า ๔๗๐ ปี เป็นคัมภีร์ใบลานของวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
            ตำนานราชวงศ์ตำนานเมือง ที่สำคัญได้แก่พงศาวดารเมืองน่าน และตำนานพระธาตุแช่แห้ง เป็นต้น
            กฎหมาย  มีกฎหมายที่สำคัญได้แก่ กฎหมายพญามังรายหรือมังรายธรรมศาสตร์ กฎหมายอาณาจักรหลักคำ
        จารึก  จากหลักฐานของจารึกหินทรายหรือหินชนวน มีจำนวน ๑๒ หลัก จารึกฐานพระพุทธรูป ๓ แห่ง จารึกระฆังสำริด ๒ ใบ อักษรที่ใช้จารึกใช้อักษรสามแบบคือ อักษรไทยสุโขทัย อักษรธรรมล้านนา และอักษรฝักขาม ระยะแรกของจารึกจะใช้อักษรสุโขทัย ต่อมาจึงใช้อักษรฝักขาม และอักษรธรรมล้านนาตามลำดับ
            จารึกที่ปรากฏศักราชพบว่า จารึกอักษรไทยสุโขทัย เริ่มที่ปี พ.ศ.๑๙๗๐ จารึกอักษรฝักขาม เริ่มที่ปี พ.ศ.๒๐๔๓ และจารึกอักษรธรรมล้านนาเริ่มที่ปี พ.ศ.๒๐๙๑

             จารึกคำปู่สบถ  พบที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อำเภอเมือง ฯ สันนิษฐานว่าจารึกเมื่อปี พ.ศ.๑๙๓๕ พร้อมกับจารึกหลักที่ ๔๕ ของเมืองน่าน เป็นจารึกบนหินทรายแผ่นสี่เหลี่ยม อยู่ในสภาพชำรุดเดิมคงเป็นรูปใบเสมา ด้านที่หนึ่งมี ๒๖ บรรทัด ด้านสองมี ๑๐ บรรทัด แผ่นหินกว้าง ๕๖.๕ เซนติเมตร ยาว ๓๙ เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรไทยสุโขทัย เป็นภาษาไทยร้อยแก้ว เนื้อหาเป็นเรื่องราวของพระยาแห่งน่าน ทำสัญญาช่วยเหลือกันกับพระเจ้าไสยลือไทยผู้เป็นหลาน
             จารึกวัดช้างค้ำ  พบที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อำเภอเมือง ฯ จารึกเมื่อปี พ.ศ.๒๐๙๑ เป็นจารึกหลักที่ ๗๔ จารึกบนหินทรายรูปใบเสมา ขนาดกว้าง ๔๐ เซนติเมตร ยาว ๖๖ เซนติเมตร ใช้อักษรธรรมล้านนาเรียบเรียงเป็นร้อยแก้ว เนื้อหากล่าวถึงพระยาพลเทพฤาไชย บูรณะวิหารวัดหลวงกลางเวียงคือ วัดพระธาตุช้างค้ำ
             จารึกฐานพระพุทธรูปวัดพญาภูองค์ที่หนึ่ง พบที่วัดพญากู อำเภอเมือง ฯ จารึกเมื่อปี พ.ศ.๑๙๖๙ จารึกไว้ที่ฐานพระพุทธรูปปางลีลา มีขนาดกว้าง ๓๖ เซนติเมตร ยาว ๓๗ เซนติเมตร เป็นการจารึกลงบนเนื้อโลหะใช้อักษรไทยสุโขทัย เป็นภาษาไทยแบบร้อยแก้ว เนื้อหาเป็นเรื่องสมเด็จพระเจ้าผาสุมผู้เสวยราชในนันทปุระ (น่าน) สร้างพระพุทธรูปห้าองค์ ปรารถนาถึงพระศรีอริยไมตรี
   ตำนานวรรณกรรมพื้นบ้าน

         อาณาจักรหลักคำ  เป็นกฎหมายโบราณที่ใช้ปกครองตนเองของเมืองน่าน และเมืองที่อยู่ในเขตปกครองของเมืองน่าน ในช่วงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๙๕ ในสมัยพระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช ฯ และได้ใช้ต่อมาจนถึง ปี พ.ศ.๒๔๓๙ ในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ฯ
            อาณาจักรหลักคำเขียนด้วยตัวอักษรล้านนา  เป็นกฎหมายที่เน้นให้เห็นระเบียบปฏิบัติขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ข้อห้าม กฎเกณฑ์ต่าง ๆ อันเป็นการจัดระเบียบสังคมในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังแสดงให้ทราบถึงขอบเขตการปกครองของเมืองนั้น
            กฎหมายสำคัญที่ลงโทษหนักคือการลักควาย ระบุโทษไว้ว่า ผู้ลักควายไปฆ่ากินจะถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต เพื่อมิให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินต่อไป
            กฎหมายที่รักษาธรรมชาติแวดล้อมอันเป็นสาธารณสมบัติ เช่น ห้ามฟันไร่บริเวณต้นน้ำ  และริมแม่น้ำ อันเป็นแหล่งกำเนิด และนำน้ำเข้าสู่ไร่นา ใครทำผิดจะถูกคุมขัง เฆี่ยนหลัง ๓๐ แส้ และปรับเงิน ๓๓๐ น้ำผ่า นอกจากนั้นยังมีกฎหมายห้ามฆ่าค้างคาวในถ้ำ ห้ามเบื่อปลาในน้ำ และห้ามตัดต้นไม้บางชนิด
            กฎหมายที่ควบคุมไม่ให้คนยากไร้ถูกขูดรีด เช่นการคิดดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นเงินตรา หรือข้าวก็ตาม จะต้องมีระยะเวลากู้ถึงสามปี จึงคิดดอกเบี้ยได้ ถ้ากู้นานถึง ๙ ปี ๑๐ ปี ก็ให้เอาดอกเบี้ยเท่าเงินต้นเท่านั้น จะมากไปกว่านั้นไม่ได้ และการกำหนดเอาตัวลูกหนี้ให้มีสภาพเป็นทาส จะต้องมีหนี้สินที่มีมูลค่าตั้งแต่ ๓๐๐ ดอก(มาตราเงิน) ขึ้นไป
         มังรายสอนลูก  มีคำอ่านเป็นอักษรภาษาไทยกลาง และมีความหมายดังนี้

สรีสวัสดี ทำนองมีพระยามังรายสอนลูกก่อนแล

อย่าปลูกกล้วยเอาไว้แก่กอเลา หมายถึงอย่าปลูกกล้วยไว้โดยไม่เอาใจใส่บำรุงรักษาปล่อยให้ต้นเลาปกคลุม
อย่าจาคำเส้าแก่เจ้าขุนบวก ห้ามพูดคำที่ไม่ดี หรือไม่เป็นมงคลแก่ขุนนางผู้มีอำนาจ
เป็นไพร่น้อยอย่าจาสวดต่อฮ้อลัวะชาวดอย เป็นไพร่ผู้น้อยอย่าได้กล่าววาจาดุร้ายต่อชาวต่างชาติต่างถิ่น
อย่าเอาภูดอยมาเป็นรั้วบ้าน หมายถึงอย่าปลูกบ้านอยู่เชิงเขา หรือติดภูเขา
อย่าคบคนขี้คร้าน อย่าคบคนเกียจคร้าน
อย่าอยู่บ้านมักสุข  อย่าอยู่กับบ้านเอาแต่ความสุขสบาย อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำประโยชน์
ลุกเมื่อเช้าอย่าทืบฟาก ตื่นนอนตอนเช้าอย่ากระทืบพื้นบ้าน คืออย่าให้ขุ่นมัว หงุดหงิด
อย่าออกปากเสียงแข็ง อย่าพูดเสียงดังหยาบคาย
อย่าแสงกันที่ข้างน้ำบ่อ อย่าพูดสนทนากันที่ข้างบ่อน้ำ
อย่าห่อเข้า (ข้าว) หื้อข้าท่านลักหนี อย่าห่อข้าวให้ข้าทาษอันเป็นของคนอื่น หนี
อย่าตีเสื้อผ้าหลังถึม อย่าเอาเสื้อผ้าตีฟาดกับฝากระแซง
อย่ายืมกลองท่านมาตี อย่ายืมของที่ชำรุดง่ายของผู้อื่นมาใช้ จะเกิดความเสียหายได้
อย่าเอาขอนผีท่านมาให้ อย่านำเอาของที่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ มาสร้างความทุกข์ใจแก่ตนเอง
อย่าซื้อลูกสะใภ้มาเรือน อย่าหาคู่ครองให้ลูกหลานโดยวิธีคลุมถุงชน
อย่าเชือนผ้าแผ่น  อย่าได้ลาดหรือปูผ้าผืนใหญ่โดยไม่จำเป็น
ช้างม้าแล่นอย่าชักหาง กิจการใดที่เกินกำลังอำนาจของตนจะทัดทานได้ ก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป
กลางฟานแล่นอย่าวกหน้า หมายถึงน้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
ม้าช้างดีด อย่าแล่นตามหลัง  หมายถึงให้ระวังในการคบคน โดยเฉพาะคนพาลอย่าวางใจ
ท่านเผาหนังอย่าถามเชื่อเขี้ยว  หมายถึงกิจการใดที่เกินกำลังความสามารถของตนอย่าได้อวดดีไปทำ
ยิงโลบเลี้ยวอย่าเอามาเป็นเมีย ผู้หญิงไม่ดี หรือหญิงแพศยา อย่าได้นำมาเป็นภรรยา
เข้า (ข้าง) เต็มเยีย อย่าอ้างว่ากินเงิน ข้าวเต็มยุ้งฉาง อย่าอ้างว่ามีกินอีกนาน
เงินพันอย่าไขกลางกาด มีเงินมากอย่าได้เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้
อย่าประมาทตนเจ้ามีศีล อย่าได้ลบหลู่ดูแคลนผู้ทรงศีล
อย่าขุดดิน หื้อท่านฝังหุ่น หมายถึงอย่าได้สมรู้ร่วมคิดในการทำความผิด
อย่ามุ่มคำเก่าหื้อ ท่านผิดกัน อย่ารื้อฟื้นคำพูดเก่า ๆ มาพูดอีกเพื่อให้เขาทะเลาะกัน
อย่าฟันไร่ที่จอมผา หมายถึงอย่าทำงานที่ใช้แรงงานโดยเปล่าประโยชน์
อย่าเยี๊ยะนาที่ตาหล่าย อย่าทำนาที่ตลิ่งน้ำ จะเกิดความเสียหายไม่คุ้มค่า
อย่าฟันไม้ ก่ายถมทางหลวง หมายถึงอย่างหลงมัวเมาในอวิชชา ทำให้ขัดขวางคุณความดี
อย่าฟันโรงที่ท่านอยู่ หมายถึงอย่าให้กิเลศตัณหา มาทำลายคุณธรรมในเรือนใจของตน
อย่านั่งปู่เอาเอาหลังไปอิงเนอะ หมายถึงให้รู้จักกาละเทศะ รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น
เงินคำ อยู่คมพร้า เสื้อผ้าอยู่คมขวาน หมายถึงให้หนักเอาเบาสู้ มีความวิริยะ อุตสาห
ฝูงอาจารย์จาริต อย่าได้จิตคำผวน ทั้งมวลบ่ได้ซื้อ    คำของครูบาอาจารย์ควรเชื่อฟัง ไม่ประพฤตินอกรีต
อย่ามืดมื้อเป็นดั่งเดือนดำ อย่ามัวหลงไม่ยอมรับรู้ คำสั่งสอนของผู้รู้
อย่ากทำ (กระทำ) เป็นดั่งอี้ เป็นคนสัพปลี้บ่ดีแล อย่าทำตนเป็นคนกลับกลอก
อย่าอวดอ้างคุณคอง อย่าได้อวดอ้างว่าตนมีคาถาอาคม
คุณคองมีหื้อหมั่นเล่า  ให้หมั่นครองศิลปคุณ ข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ
กำไหนหื้อมั่น หั้น อย่าเยี๊ยะสั้นหันสั้น  หื้อคึดเอายาว ทำสิ่งใดให้ทำอย่างจริงจัง อย่าใจเร็วด่วนได้
จักกินนาหื้อแถมของฝาก หวังประโยชน์จากผู้อื่น ก็ควรทำประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง
จักปากหื้อแยงยาม จักถามหื้อแยงถี่  พูดจาให้ดูกาลเทศะ
จักจดรี่ให้ดูฝน  จะทำอะไรให้พิจารณาโดยรอบคอบ
จาคำหื้อมีเมื่อ จะพูดคำไม่ดีไม่เหมาะสมให้ดูกาลเทศะ
จักขอหื้อปากม่วน จะขออะไรใครให้เจรจาไพเราะน่าฟัง
จักรีบด่วนหื้อเอาเบา  หมายถึงให้ปลดวางกิเลสตัณหาต่าง ๆ
ท่านรักเราหื้อเรารักตอบ  มิตรจิตรมิตรใจ
ท่านครอบหื้อเราปัง เมื่อท่านถ่ายทอดความรู้ให้ ควรตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
ท่านชังหื้อชัยนำ เมื่อท่านไม่ชอบอย่างไร ก็อย่าได้ประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น
ท่านกำหื้อกำแทน เมื่อท่านทำการใด ให้ช่วยเหลือเพื่อแบ่งเบาภาระ
ท่านแบนหื้อแบนล่อ เมื่อท่านได้กำหนดแนวทางปฏิบัติอย่างไรให้ปฏิบัติตาม
ท่านถ่อหื้อเราพาย มีกิจการใดให้ช่วยกันทำ
จักเป็นนายหื้อรักหมู่ เป็นเจ้าคนนายคนต้องรักพวกพ้องบริวาร
จักเป็นปู่หื้อรักลูกรักหลาน เป็นผู้ใหญ่ให้รักผู้น้อย
จักเป็นขุนกวานหื้อรักเพือนบ้าน อยากเป็นกำนัน หรือผู้ตัดสินคดีความให้รักเพือนบ้าน
จักต้านถ้อยหื้อพิจารณาตวงถี่ จะเจรจาความหรือตัดสินคดีความใด ควรพิจารณาให้ถี่ถ้วน
จักอยู่ที่ใด อย่าจาแข็ง จะอยู่ที่ใดอย่าพูดหยาบคาย สามหาวกับเพื่อนบ้าน
ที่ใดแหงหื้อค่อยเว้น ที่ใดมีความแตกแยกขาดสามัคคี อย่าได้สมาคมด้วย
ขึ้นแล้วหื้อค่อยลง อย่าลืมตนประมาท
เงินเต็มถงอย่าหื้อน้อย อย่านอนใจว่ามีเงินมาก
อันจักหื้อย่อมมีหลายประการ การทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยมีหลายแนวทาง
ปากบ่ช่างก็จะเสียมิตร พูดไม่เป็นก็อาจเสียเพื่อนได้
คันผิดหื้อค่อยแปง อย่าได้ทำความผิดซ้ำสอง
หีบแกงร้อน หื้อค่อยเป่า อย่าทำการสิ่งใดอย่างผลีผลาม
หัวใจเน่า หื้อพันหาย รู้จักระงับใจตนเอง ใช้สติปัญญาเข้าข่ม อารมณ์ของตน
คันกลัวตายหื้อรู้เยี่ยง ถ้ากลัวตายให้ประพฤติธรรม
หาบเฟืองหื้อค่อยไป อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต
ใคร่ไวหื้อคลานใคร่นานหื้อแล่น ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อย่าใจเร็วด่วนได้
ใคร่นั่นแท่นหื้อเรียนธรรม  อยากนั่งธรรมาสน์ให้เรียนธรรม
หื้อจำนำคำสอนพระเจ้าต่อเท้ากุ้มชีวังเทอะ ให้จดจำคำสอนของพระยามังรายเพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ตราบเท่าชีวิตจะหาไม่
ขนบธรรมเนียมประเพณี

             การแต่งกาย  ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ การแต่งกายของชาวน่านปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ ในเขตอำเภอเมือง ฯ ลักษณะผ้าทอเป็นผืนผ้าที่นำมาต่อให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จะยกหรือปักลายมีเชิงชายหรือย้อมทอแบบใดก็ได้
                ผ้าสำหรับผู้ชาย ผ้าต้อย และผ้าเตี่ยว คือผ้านุ่งของผู้ชาย เป็นผืนผ้าสี่เหลี่ยม นุ่งแบบเค็ดหม้ามคือ นุ่งอย่างถกเขมร บางทีมีการม้วนเป็นเกลียวให้กระชับ ผ้าต่อง หรือผ้าหัว คือผ้าขาวม้าที่ใช้คาดเอวนุ่งก็ได้ เคี่ยนหรือโพกศีรษะก็ได้ ผ้าขาวม้าไทลื้อแบบอำเภอทุ่งช้าง นิยมใส่ลายจกหรือล้วงเป็นสีสดใส ตรงซิ่นผ้านิยมใช้ดิ้นเงินดิ้นทอง สอดในลวดลายด้วย ผ้าเช็ด เป็นผ้าฝ้ายสีขาวทอด้วยการชิด (มก) เป็นลวดลายเรขาคณิตหรือรูปสัตว์ต่าง ๆ ส่วนผ้าเช็ดจากอำเภอทุ่งช้างเป็นผ้าทอด้วยวิธีการชิด และกรอบสลับสีต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะทอด้วยผ้าฝ้าย บางผืนก็มีดิ้นทองสลับด้วยลวดลายเรขาคณิต เสื้อ เสื้อของผู้ชายไทลื้ออำเภอทุ่งช้าง ตัดเย็บด้วยผ้าม่อฮ่อมคอตั้งแขนยาว คอเสื้อเย็บตกแต่งแถบผ้าลายจก ติดกระดุมเงิน หมวก เป็นผ้าโพกแบบเคียนรอบศีรษะ เป็นผ้าฝ้ายสีขาว หรือผ้าแพรจับสีชมพู สำหรับไทลื้อเมืองเงินปกติจะใช้ผ้าโพกศีรษะสีดำ ในโอกาสพิเศษจะสวมหมวกผ้าที่มีลวดลายตีนจก ตกแต่งอย่างสวยงาม
                ผ้าสำหรับผู้หญิง ผู้หญิงนุ่งซิ่นป้อง ทอด้วยลวดลายชิด และซิ่นก่าน นับเป็นศิลปะพื้นบ้าน ที่แสดงถึงความละเอียดประณีตของผู้ทอ บางลายแสดงถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ด้วยการผูกลายเล่นสี หรือการจก ผ้าซิ่น คือผ้าที่เย็บเป็นถุง มีขนาดสั้น ยาว หนา แคบ ต่าง ๆ กัน วิธีการนุ่งซิ่นของชาวเมืองน่าน จะทบจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้ายโดยเหน็บชายพกไว้ที่เอว ส่วนตีนเชิงหรือตีนซิ่นจะเสมอกันมีสี่รูปแบบคือ แบบซิ่นเชียงแสน ซิ่นป้อง ซิ่นม่าน และซิ่นตีจก เสื้อ เป็นเสื้อแขนยาวสีคราม ตัวเสื้อรัดรูป เอวลอย มีสามหน้าเฉียงมา ผูกติดกันด้วยฝ้าย หรือแถบผ้าเล็กต่อมุมด้านซ้ายหรือขวาของลำตัว ชายเสื้อนิยมยกลอยขึ้นทั้งสองข้าง สาบเสื้อขลิบด้วยผ้าแถบสีต่าง ๆ ประดับด้วยกระดุมเงินเม็ดเล็ก ๆ เรียงกัน

           ประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน  เป็นประเพณีเก่าแก่ที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ โดยมีการจัดการแข่งขันกันเองในฤดูน้ำหลาก น้ำขึ้น (ฤดูฝน) ในเทศกาลตานก๋วยสลาก (สลากภัต) โดยแต่ละวัดจะนำเรือของตนเข้าแข่งขันเพื่อเป็นการเชื่อมไมตรีสมานสามัคคีกัน เจ้าผู้ครองนครน่าน ได้มีคำสั่งให้ข้าราชการตัดไม้ตะเคียนคู่ขนาดใหญ่มาขุดเป็นเรือขนาดใหญ่มากสองลำ แล้วจัดให้มีพิธีกรรมบวงสรวงเทวดาประจำไม้ตะเคียน และทำบายศรีสู่ขวัญเรือทั้งสองลำลงแม่น้ำน่าน เรือลำแรกให้ชื่อว่าเรือท้ายหลัง เรือลำที่สองชื่อว่า เรือท้ายหลวง ต่อมาเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้ป่าวประกาศให้ชาวเมือง นำเรือทั้งสองเป็นแม่แบบในการสร้างเรือ เพื่อนำมาใช้แข่งขันกัน
           เอกลักษณ์เฉพาะของเรือแข่งจังหวัดน่าน มีความงดงาม ไดยเฉพาะเอกลักษณ์ทางหัวเรือ หรือโขนเรือ ที่จำหลักเป็นรูปพญานาคแบบล้านนา ส่วนท้ายเรือก็จะเป็นส่วนหางของพญานาค ที่มีความสวยงามกลมกลืนกัน
           ประเพณีหกเป็งขึ้นธาตุแช่แห้ง (ไหว้สาพระธาตุแช่แห้ง)  เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่อดีต ในช่วงฤดูเทศกาลเพ็ญเดือนหก (เหนือ) เจ้าผู้ครองนครน่าน พร้อมด้วยข้าราชบริพาร จะพากันไปนมัสการพระธาตุแช่แห้ง โดยในวันขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนหก ขบวนแห่ของเจ้าเมืองน่าน พร้อมด้วยคณะสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนจากชุมชนต่าง ๆ จะมาพร้อมกันที่บริเวณรอบ ๆ เนินภูเพียงแช่แห้ง จะมีพิธีทางศาสนา และกิจกรรมเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นพุทธบูชา โดยมีการทำบุญตักบาตร เทศมหาชาติ บรรยายธรรม และมีการจุดบ๊อกไฟดอก (บั้งไฟ) ซึ่งมีลักษณะเป็นไฟพะเนียงพื้นบ้าน มีความสวยงามในยามราตรี เมื่อถึงวันจึ้นสิบห้าค่ำเดือนหก ขบวนพุทธศาสนิกชนจะทำครัวตาน (เครื่องไทยธรรม) ในช่วงบ่ายจะมีการถวายเป็นพุทธบูชา โดยการจุดบ๊อกไฟขึ้น (จุดบั้งไฟ) และมีการแสดงพระธรรมเทศนา มีเทศน์มหาชาติสืบเนื่องต่อจากวันขึ้นสิบสี่ค่ำ

           ประเพณีกิ๋นสลาก  ทานสลากหรือกิ๋นก๋วยสลาก คือาการทำบุญสลากภัต ซึ่งเป็นการให้ทานโดยไม่จำเพาะเจาะจงว่าจะถวายทานแก่พระภิกษุรูปใด พิธีจะเริ่มในเดือนสิบสองเหนือ (เดือนสิบสองของภาคกลาง) หรือเดือนกันยายน และสิ้นสุดในเดือนเกี๋ยงดับ (เดือนสิบเอ็ด แรมสิบห้าค่ำ) หรือเดือนพฤศจิกายน
            การจัดงานกิ๋นสลากของอำเภอบ้านหลวง  มีเอกลักษณ์เฉพาะคือ คณะศรัทธาจากทุกวัดทุกหมู่บ้าน จะรวบรวมเครื่องไทยธรรมหรือกัณฑ์สลาก ทั้งสลากน้อย หรือสลากหลวง (ต่างเมือง) โดยมีการบรรจุลงในก๋วย (ชะลอม) ที่เป็นชะลอมพื้นเมืองต่างจากแหล่งอื่น ๆ ทุกหมู่บ้านจะเตรียมสลากของตนเองสำหรับวันดา (วันสุกดิบ) ซึ่งเป็นวันเตรียมงาน เส้นสลากใช้ใบตาลหรือใบลานเขียนลงบนสลาก การเขียนเส้นสลากแบ่งออกตามจุดประสงค์ของการถวายทาน มีสามลักษณะคือ เป็นการอุทิศให้บรรพบุรุษ ญาติพี่น้อง มิตรสหายที่ล่วงลับไปแล้ว อุทิศให้พ่อเกิด แม่เกิด สรรพสัตว์ ผีเปรต และอุทิศเพื่อเป็นการออมบุญให้แก่ตนเองในภายภาคหน้า

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |