| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
ประตูเมืองศรีสะเกษ อยู่ริมฝั่งห้วยแฮดด้านตะวันออก ตำบลโพธิ์ อำเภอเมือง ฯ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก รูปแบบจำลองปราสาทหินศิลปะขอมโบราณ ตั้งอยู่ทางเข้าตัวเมืองศรีสะเกษด้านตะวันออก บริเวณเชิงสะพาน ขัามห้วยแฮด บนทางหลวงแผ่นดินสายศรีสะเกษ - อุบล ฯ
ศาลหลักเมืองศรีสะเกษ อยู่ถนนหลักเมืองตัดกับถนนเทพา อำเภอเมือง ฯ เป็นศาลหลักเมืองคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ มาตั้งแต่สมัยก่อตั้งเมือง ต่อมาได้มีการสร้างขึ้นใหม่บริเวณศาลหลักเมืองเดิม
สะพานขาวสะพานดำ
เป็นสะพานรถไฟข้ามห้วยสำราญ สร้างด้วยโครงเหล็ก เรียกว่า สะพานดำ ส่วนสะพานขาวเป็นสะพานสำหรับยานพาหนะอื่น
ๆ และคนข้าม
ภาษาและวรรณกรรม
ภาษาดั้งเดิมของชาวศรีสะเกษ
มีอยู่หลายภาษาด้วยกันคือ
ภาษาลาว
ปัจจุบันชาวอีสานบางส่วนยังเรียกตนเองว่าลาว ภาษาลาวหรือภาษาอีสานเป็นภาษาที่มีพื้นฐานและตัวอักษรแบบเดียวกัน
แต่มีการพัฒนาการแตกต่างกัน เนื่องจากการติดต่อพื้นที่ข้างเคียงคนละด้าน สำเนียงการพูดภาษาท้องถิ่นก็แตกต่างกันตาม
พื้นเพเดิมที่อพยพมา
ภาษาเขมร
ชนชาวเขมรในจังหวัดศรีสะเกษเป็นชาวเขมรบนหรือเขมรสูงที่มีการใช้ภาษาพูดและสำเนียงแตกต่างจากชาวกัมพูชา
หรือเขมรลุ่ม แต่สามารถสื่อสารกันได้ ภาษาเขมรพูดกันมากในเขตอำเภอขุขันธ์
อำเภอกันทรลักษณ์ อำเภอภูสิงห์ อำเภอขุนหาญ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอไพรบึง อำเภอห้วยทับทัน
อำเภอศรีรัตนะ มีผู้พูดภาษาเขมรประมาณร้อยละ ๒๐ ของประชากรในจังหวัด
ภาษาส่วย
เป็นภาษาตระกูลมอญเขมรคล้ายภาษาโส้ แสก ข่า มอญ ที่พูดเข้าใจกันได้ เป็นภาษาที่ไม่มีตัวอักษร
นอกจากนั้นยังมีภาษาพิเศษ สำหรับหมอควาญในการบวงสรวงผีก่อนออกจับช้าง
ภาษาส่วยมีพูดกันมากในบางท้องที่ของอำเภอเมือง ฯ อำเภออุทุมพรพิสัย
อำเภอราษีไศล อำเภอไพรบึง อำเภอปรางค์กู่ อำเภอห้วยทับทัน อำเภอรัตนะ อำเภอน้ำเกลี้ยง
อำเภอเมืองจันทร์
ภาษาเยอ
เป็นภาษาเดียวกับภาษาส่วย แต่สำเนียงแตกต่าง และเพี้ยนกันไปตามสภาพแวดล้อม
บางท่านสรุปว่าภาษาเยอคือ ภาษาส่วยที่ใกล้ชิดกับภาษาลาว ภาษาส่วยคือภาษาเยอที่ใกล้ชิดกับภาษาเขมร
จารึก
มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งจารึกเขาพระวิหาร จารึกแต่ละหลักเป็นหลักฐานยืนยันความเป็นมา
ไขความทางประวัติศาสตร์ ของจังหวัดศรีสะเกษ ได้มีการสำรวจและขึ้นทะเบียนไว้
๑๐ รายการ
จากการศึกษาวิเคราะห์รูปอักษรที่ใช้ และการอ่านแปลข้องความในจารึกแล้วพบว่า
จารึกมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ ใช้อักษรขอมโบราณที่พัฒนามา จากอักษรปัลลวะของอินเดียตอนใต้
เป็นภาษาเขมร และสันสกฤต
เรื่องราวที่จารึกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกษัตริย์แห่งอาณาจักรขอมโบราณ หรือชนชั้นปกครอง
และเรื่องเกี่ยวกับศาสนาฮินดู เช่น การสร้างศาสนสถาน รูปเคารพ ถาวรวัตถุต่าง
ๆ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการอุทิศข้าทาส ทรัพย์สิ่งของต่าง ๆ
ถวายพระเจ้า คือถวายไว้ประจำศาสนสถาน
จารึกส่วนใหญ่เป็นจารึกรูปอักษรไว้ที่ส่วนประกอบอาคารของศาสนสถาน ได้แก่ จารึกกรอบประตูที่ปราสาทโดนตวล
และจารึกกรอบหน้าต่าง ที่ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นหลักสี่เหลี่ยม นอกจากนี้ยังมีจารึกบนขันสำริด
ซึ่งแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานว่า ได้พบในบริเวณศาสนสถานแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ข้อความที่จารึกกล่าวถึง
การถวายไทยธรรมแก่กัมรเตงชคต ซึ่งบอกถึงการบำเพ็ญกุศลถวายแก่พระเจ้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเจ้าสุริยวรมันได้ให้ความสำคัญแก่กัมรเตงคตศรีพฤทเธศวร
(ปราสาทสระกำแพงใหญ่) และกัมรเตงชคตศรีศิขเรศวรต (ปราสาทเขาพระวิหาร) ในระดับใกล้เคียงกัน
โดยได้ให้จารึกไว้ในจารึกเขาพระวิหารหลักที่ ๑ อีกด้วย
จารึกปราสาทสระกำแพงใหญ่ (ศก.๑)
เป็นจารึกบนกรอบประตูทิศใต้ของซุ้มประตูระเบียงคดทิศตะวันออกของปราสาทสระกำแพงใหญ่
ไม่ปรากฏหลักฐานการค้นพบครั้งแรก แต่มีการพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖
ในนิตยสารศิลปากร ต่อมาได้พิมพ์เผยแพร่อีกครั้งในหนังสือจารึกในประเทศไทย
เล่ม ๓ อำษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ พ.ศ.๒๕๓๙
รูปแบบอักษร จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ เป็นภาษาเขมร ระบุ พ.ศ.๑๕๘๕ พื้นที่จารึกกว้าง
๕๔ เซนติเมตร ยาว ๒๖๕ เซนติเมตร มีตัวหนังสือ ๓๓ บรรทัด อ่านได้ ๒๔ บรรทัด
เนื้อหาโดยสังเขปมีผู้อ่าน และแปลไว้มีสาระดังนี้
- ในปี พ.ศ.๑๕๘๕ เดือน ๕ ขึ้น ๒ ค่ำ ซึ่งตรงกับวันวิศุวสงกรานต์ คือ วันที่มีกลางวันและกลางคืนเท่ากัน
ได้มีพิธีมอบที่ดิน และข้าวของถวายวัด มีการประกาศเขตกัลปนามอบผู้ดูแลศาสนสถาน
- ประกาศชื่อศาสนสถานว่าศรีพฤทเธศวร คู่กับเขาพระวิหารที่มีชื่อว่าศรีสิขเรศวร
ศรีพฤทเธศวรอยู่เมืองสดุกอำพิล
- บุคคลที่มีอำนาจในเมืองนี้คือศิวทาส นอกจากนี้ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคน
- ระบบกัลปนา คือ ยกที่ดินให้ขึ้นกับศาสนสถาน แล้วแบ่งให้ข้าพระผู้อุปถัมภ์วัดดูแลทำประโยชน์
ระบบกัลปนาเป็นการบำรุงศาสนสถานให้ดำรงอยู่
- มีการประกาศถวายวิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์แก่วัด (กัมรเตง)
- มีการประกาศชื่อทาสคือ ผู้ภักดีต่อวัดชาย - หญิง เป็นผู้ดูแลศาสนสถานนั้น
ศิลาจารึกหลักนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นมา และสภาพความเป็นอยู่ของชาวศรีสะเกษในพุทธศตวรรษที่
๑๖ ได้เป็นอย่างดี
จารึกปราสาทโดมตวง (ศก.๙)
จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาเขมร - สันสกฤต ระบุ พ.ศ.๑๕๔๕ จำนวน ๑ ด้าน
มี ๓ บรรทัด เป็นจารึกบนหินทราย ซึ่งเป็นกรอบประตูทิศเหนือ ทางเข้าด้านหน้าปราสาทประธาน
ส่วนที่สันนิษฐานว่าเป็นมณฑป
เนื้อหาโดยสังเขป จับความได้ว่ามีการกล่าวถึงนามเจ้านายหรือชนชั้นปกครองและนามบุคคล
จารึกปราสาทโดนตวล ๒ (ศก.๑๐) เป็นจารึกด้วยวอักษรขอมโบราณเป็นภาษาเขมร
- สันสกฤต จำนวน ๑ ด้าน ๑๕ บรรทัด เป็นจารึกบนหินทราย ซึ่งเป็นกรอบประตูทิศใต้ของทางเข้าด้านหน้าที่สันนิษฐานว่า
เป็นมณฑปปราสาทประธาน
เนื้อหาโดยสังเขป ดูที่จารึกปราสาทโดนตวล
จารึกปราสาทเขาพระวิหาร ๑ (ศก.๕)
พบที่ปราสาทเขาพระวิหาร ไม่ปรากฎว่าพบเมื่อใด หอสมุดแห่งชาติได้อ่านแปล และพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรก
ในหนังสือจารึกในประเทศไทย เล่ม ๓ อักษรขอมพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาสันสกฤต
และภาษาเขมร ระบุ พ.ศ.ไว้ ๒ แห่งคือ พ.ศ.๑๕๙๐ และ พ.ศ.๑๕๙๑ มีจำนวน ๒ ด้าน
ด้านที่ ๑ มี ๒๗ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๑๐ บรรทัด จารึกบนแท่งหินทรายสี่เหลี่ยม
กว้าง ๕๑ เซนติเมตร สูง ๖๗ เซนติเมตร ช่วงเวลาที่จารึกอยู่ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่
๑
ข้อความในจารึกกล่าวถึงการเขียนประวัติและการเก็บรักษาเอกสารประวัติของกษัตริย์
และราชวงศ์แห่งอาณาจักรเขมรโบราณ และยังกล่าวถึงบุคคลต่าง ๆ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับศาสนสถาน
จารึกปราสาทพระวิหาร ๒ (ศก ๓)
พบที่ปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๒ เจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติได้อ่านแปล
และพิมพ์เผนแพร่ครั้งแรกในหนังสือจารึกประเทศไทย เล่ม ๔ อักษรขอม พุทธศตวรรษที่
๑๗ - ๑๘ เป็นจารึกด้วยอักษรขอมโบราณ เป็นภาษาเขมรและภาษาสันสกฤต ระบุปี พ.ศ.๑๖๖๔
มีจำนวน ๔ ด้าน ด้านที่ ๑ มี ๔๘ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๕๗ บรรทัด ด้านที่ ๓
มี ๗ บรรทัด ด้านที่ ๔ มี ๒๓ บรรทัด จารึกบนแท่นหินทรายสี่เหลี่ยม กว้าง ๔๔.๕
เซนติเมตร สูง ๑๑๗ เซนติเมตร หนา ๑๓.๕ เซนติเมตร
เนื้อหาโดยสังเขปเป็นจารึกที่สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ โดยระบุปี
พ.ศ.๑๖๖๔ เป็นศิลาจารึกที่มีความและมีเนื้อหายาว กล่าวถึงประวัติ และเรื่องเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ของกัมรเตงวอัญคุรุศรีทิวากร ซึ่งเป็นพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักของกษัตริย์แห่งอาณาจักรเขมรโบราณข้อความจารึกกล่าวย้อนถึงกรณียกิจของกษัตริย์รัชกาลก่อน
ๆ อันเกี่ยวเนื่องด้วยนการบำเพ็ญกุศลในศาสนา และมีการกล่าวถึงการประกอบพิธีกรรมต่าง
ๆ การสร้างรูปเคารพ สร้างอาศรม ขุดสระน้ำ และการถวายข้าทาสชายหญิง ตลอดจนทรัพย์สิ่งของไว้ประจำเทวสถานด้วย
รวมทั้งเขตกัลปนาที่เป็นชุมชนโบราณสมัยขอม ซึ่งบางแห่งรวมถึงชุมชนในจังหวัดศรีสะเกษด้วย
จารึกปราสาทเขาพระวิหาร ๓ (ศก.๔)
พบที่ปราสาทเขาพระวิหาร จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาเขมร - สันสกฤต มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตววรรษที่
๑๖ จำนวน ๑ ด้าน มี ๑๐ บรรทัด กว้าง ๕๘.๕ เซนติเมตร สูง ๒๖๕ เซนติเมตร หนา
๒๒.๕ เซนติเมตร อยู่บนกรอบประตูชั้นที่ ๒ อาคารหลังระเบียงปราสาทชั้นที่ ๓
ปราสาทเขาพระวิหาร
เนื้อหาโดยสังเขป จารึกเรื่องราวของกษัตริย์ อาณาจักรเขมรโบราณ และกรณียกิจอันเกี่ยวกับศาสนสวถาน
ตัวจารึกมีอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ รายละเอียดข้อความที่จารึก กำลังอยู่ระหว่างการแปล
จารึกปราสาทเขาพระวิหาร ๔ (ศก.๖)
พบที่ปราสาทเขาพระวิหาร จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาเขมร - สันสกฤต มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๖ จำนวน ๒ ด้าน ด้านที่ ๑ มี ๖๙ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๒๙ บรรทัด เป็นจารึกบนหินทรายที่เป็นกรอบประตู
ขนาดกว้าง ๖๓ เซนติเมตร สูง ๒๕๐ - ๒๘๐ เซนติเมตร หนา ๒๘.๕ เซนติเมตร รายละเอียดของจารึกยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการอ่านและแปล
จารึกปราสาทเขาพระวิหาร ๕ (ศก.๗)
พบที่ปราสาทเขาพระวิหาร จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษาเขมร - สันสกฤต มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๖ มีจำนวน ๒ ด้าน ด้านที่ ๑ มี ๑๘ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๒๗ บรรทัด เป็นจารึกบนหินทรายที่เป็นกรอบหน้าต่าง
กว้าง ๕๖ เซนติเมตร สูง ๒๒๓ เซนติเมตร หนา ๒๓ เซนติเมตร เนื้อหายังอยู่ระหว่างการแปล
จารึกบนขันสำริด (ศก.๘) จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษเขมร
ระบุปี พ.ศ.๑๗๒๗ จำนวน ๑ บรรทัด วนรอบขันสำริดที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
๒๘.๕ เซนติเมตร สูง ๑๕.๕ เซนติเมตร
เนื้อหาโดยสังเขปมีความว่า ๑๑๐๖ ค่าไทยธรรมจำนวน ๗๑๐๑ ท่านวิชญา เหตแห่งตำบลเมรียว
กราบแด่กัมรเตงชคตบ้านงนเชียง
จารึกบ้านกระมัล (ศก.๒) เดิมพบอยู่ในโบสถ์วัดกระมัล
บ้านกระมัล ตำบลโพธิ์วงศ์ อำเภอขุนหาญ บริเวณที่พบหลักนี้เป็นซากโบราณสถานที่เหลือเพียงฐาน
มีหินทรายและศิลาแลงกระจายอยู่ทั่วไป ศิลาจารึกนี้ได้นำมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร
จารึกนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘
จารึกหลักนี้ จารึกด้วยอักษรขอมโบราณเป็นภาษเขมร มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๗ - ๑๘ จำนวน ๑ ด้าน มี ๑๓ บรรทัด สถาพจารึกเป็นรูปใบเสมาทำด้วยหินทราย กว้าง
๔๗ เซนติเมตร สูง ๙๐ เซนติเมตร หนา ๑๔ เซนติเมตร เนื่องจากตัวอักษรลบเลือนจึงจับเนื้อหาสาระไม่ได้
จารึกฐานพระพุทธรูปวัดอ่างแก้ว (สค.๑) พบที่จังหวัดศรีสะเกษ แต่ต่อมาได้มีการเคลื่อนย้ายมาไว้ที่วัดอ่างแก้ว
อำเภอเมืองสมุทรสาคร ไม่ปรากฎว่าพบเมื่อใด มีการเผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารศิลปากร
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ เป็นจารึกด้วยวอักษรธรรมอีสาน เป็นภาษาไทย ระบุปี พ.ศ.๒๓๓๙
จำนวนสามด้าน ด้านที่ ๑ มี ๒ บรรทัด ด้านที่ ๒ มี ๓ บรรทัด ด้านที่ ๓ มี ๔
บรรทัด
เนื้อความกล่าวถึง หม่อมเจ้าพิมพาเป็นผู้ลิจจนา ทำเมื่อปี พ.ศ.๒๓๓๙ และสุดท้ายขอให้ถึงความสุขสามประการ
มีนิรพานเป็นที่แล้ว
| ย้อนกลับ
| บน
| หน้าต่อไป
|