| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

    ยุคแห่งเมือง แว่นแคว้นหรือนครรัฐ
            หลักฐานทางเอกสาร  จากพระราชพงศาวดารถังฉบับใหม่ หัวข้อพัน - พัน มีความตอนหนึ่งว่า
                   "รัฐพัน - พัน ตั้งอยู่ที่อ่าวทะเลตอนใต้ ทางเหนือติดต่อกับหวงอ๋วง (จาม) จดทะเลอยู่บ้าง อาณาเขตติดต่อ หลัง - ยา - ชิง เดินทางทางทะเลจากเมืองเจียวโจ ใช้เวลา ๔๐ วันก็ถึง กษัตริย์มีพระนามว่า เอี้ยงสู้ซื่อ ประชาชนอาศัยตามริมน้ำกั้นรั้วบ้านด้วยไม้ ใช้หินติดปลายแหลมของธนู กษัตริย์ประทับบนพระแท่นขนาดใหญ่จินหลง (มังกรทอง) บรรดาขุนนางที่เข้าเฝ้ากษัตริย์ต้องประสานมือจับไหล่และคุกเข่าลง มีวัดทางพระพุทธศาสนาและอาศรมของนักพรต เมื่อครั้งรัชสมัยเจ่งกวน (รัชกาลที่ ๑ ของราชวงศ์ถัง พ.ศ.๑๑๒๐ - ๑๑๙๒) ได้ส่งทูตมาเฝ้า"
             บันทึกของมา - ตวน - หลิน นักเดินเรือชาวจีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ได้เขียนเรื่องของรัฐพัน - พัน ไว้ตอนหนึ่งว่า
                   "รัฐพัน - พัน ได้ติดต่อกับจีนในสมัยราชวงศ์เหลียง รัฐนี้ตั้งอยู่ที่เกาะใหญ่ มีทะเลน้อย (อ่าวไทย) คั่นระหว่างหลินยี่ (จามปา) เรือสำเภาแล่นจากเมืองเกียวเจา (ตังเกี๋ย) มาถึงได้ใน ๔๐ วัน กษัตริย์มีพระนามว่า หยาง - หลี่ - จี่ พลเมืองส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามริมลำน้ำ กำแพงล้อมราบด้วยไม้ พระเจ้าแผ่นดินประทับเอนพระวรกายบนบัลลังก์จำหลักรูปมังกร (นาค) มีวัดใหญ่สิบวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์ และนางชีเล่าเรียนพระธรรมเป็นจำนวนมาก ราชทูตพัน - พัน มาถวายเครื่องราชบรรณาการเป็นประจำในสมัยราชวงศ์เหลียง (พระเจ้าเหลียงบู๊เต้ พ.ศ.๑๐๗๐ - ๑๐๗๓)"
             หลักฐานทางโบราณคดี  ในช่วงเวลาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๘ ได้พบหลักฐานทางโบราณคดี ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายซับซ้อนของชุมชน รอบอ่าวบ้านดอนเพิ่มขึ้นจากยุคที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก ปรากฏชุมชนหมู่บ้านเมืองเล็กเมืองใหญ่ กระจัดกระจายอยู่บนพื้นราบตามแนวสันทราย ที่ราบเชิงเขา และที่ราบริมลำน้ำ ส่วนใหญ่เป็นชุมชนเมืองท่าและที่อยู่อาศัย

                   -  เมืองท่าริมฝั่งทะเล  แหล่งใหญ่อยู่ที่แหลมโพธิ์ พุมเรียง อำเภอไชยา พบโบราณวัตถุที่เป็นสินค้าจากต่างถิ่นเป็นจำนวนมาก เช่น เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ที่มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๕ ได้แก่ ไหเคลือบสีเขียวมะกอก เหยือกมีพวยหกเหลี่ยมเคลือบสีเขียวมะกอก และถ้วยชามเคลือบสามสีมีลายขูดภายใน สินค้าที่ผลิตเองในท้องถิ่นได้แก่ลูกปัดแก้ว พบเศษแก้วที่เป็นวัสดุดิบ ในการผลิตเป็นภาชนะแตกหัก ที่นำเข้ามาจากตะวันออกกลาง

            แหล่งเมืองท่าริมชายทะเลอื่น ๆ ได้แก่ แหล่งโบราณคดีบ้านท่าม่วง ใกล้วัดอัมพาวาส  แหล่งโบราณคดีเชิงเขาประสงค์ ตำบลวัง อำเภอท่าชนะ พบลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน วัตถุทำด้วยหินหยก  หินวัตถุดิบจำพวกแร่ควอร์ทสำหรับผลิตลูกปัดหิน  เศษแก้ววัตถุดิบสำหรับผลิตลูกปัดแก้ว ต่างหูโลหะ  แหล่งโบราณคดีวัดพิฆเนศวร์ (ร้าง) เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชุมชนโบราณที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พบเอกมุขลึงค์เศียรพระวิษณุ เศษชิ้นส่วนศิวลึงค์ ชิ้นส่วนพระพิฆเนศวร์และซากโบราณสถานก่ออิฐ

                   -  เมืองท่าริมฝั่งแม่น้ำ  ได้แก่แหล่งโบราณคดีควนพุนพินหรือควนท่าข้าม กับแหล่งโบราณคดีวัดเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน พบลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน ลูกปัดทองคำรูปผลฟักทอง เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซัว เงินเหรียญอาหรับ พระพิมพ์ดินเผา พบศาสนสถานบนควนพุนพินที่น่าจะเป็นฐานพระสถูป พบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสำริด มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พบพระประติมากรรมรูปพระวิษณุ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ พบรากฐานเทวาลัยก่อด้วยอิฐ แหล่งโบราณคดีบ้านกะแดะและวัดถ้ำคูหา ตำบลช้างขวา ตำบลช้างขวา อำเภอกาญจนดิษฐ์ เป็นแหล่งชุมชนเมืองท่า และย่านที่อยู่อาศัยอีกจุดหนึ่ง ตามริมแม่น้ำท่าทองที่วัดถ้ำคูหาพบว่า ชุมชนชาวพุทธฝ่ายมหายานใช้ถ้ำคูหา เป็นพุทธสถานมีประติมากรรมนูนสูงและนูนต่ำ ทำจากดินเหนียวปั้นประดับไว้บนเพดานถ้ำเล่าเรื่องตามคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร ตอนที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ และโพธิ์สัตว์ ๘๐,๐๐๐ องค์ บนยอดเขาคิชกูฎใกล้กรุงราชคฤห์ ประติมากรรมแสดงอิทธิพลศิลปะทวารวดี และศิลปะจาม มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ บางภาพคล้ายเป็นรูปอาคารศาสนสถาน คล้ายปราสาทอิฐที่วัดแก้ว อำเภอไชยา
                   -  เมืองโบราณ  ได้แก่เมืองเวียงสระ อำเภอเวียงสระ ผังเมืองเป็นรูปเกือบสี่เหลี่ยมจตุรัส ใช้แม่น้ำตาปีสายเก่าและคลองตาลเป็นคูเมือง มีการขุดชักน้ำเข้ามาในคู ขุดโอบรอบเป็นอาณาเขตเมืองโบราณ วัตถุที่พบในเมืองมีอยู่ค่อนข้างหลากกลาย มีประติมากรรมเป็นภาพสลักนูนสูงรูปพระศากยมุนีพุทธเจ้า อิทธิพลศิลปะอินเดียสมัยคุปตะ สกุลช่างสารนาถ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ โบราณวัตถุในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไวษณพนิกายได้แก่ เทวรูปพระวิษณุศิลาสกุลช่างปัลลวะ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เทวรูปพระวิศณุศิลาสกุลช่างโจฬะ มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ และเทวรูปพระศิวะไพรวะ (ปางดุร้าย) สกุลช่างโจฬะ อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖

                   -  เมืองโบราณไชยา  ชุมชนโบราณที่อำเภอไชยา ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๔ มีหลักฐานว่า เป็นชุมชนที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ประติมากรรมรูปเคารพ ในศาสนามีลักษณะคล้ายคลึงกับศิลปกรรมสมัยทวารวดี ที่พบในแหล่งโบราณคดีแถบภาคกลางของประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเมืองโบราณรอบอ่าว บ้านดอนกับเมืองโบราณสมัยทวารวดี ในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแหล่งสำคัญได้แก่ วัดเววน ตำบลป่าเว พบพระพุทธรูปศิลา มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ แหล่งโบราณคดีที่ตำบลทุ่ง พบชิ้นส่วนธรรมจักรศิลา มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓

             ที่วัดเวียงและวัดแก้ว พบพระพุทธรูปศิลาปางแสดงธรรม (วิตรรกะมุทรา) มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓ ที่วัดพระบรมธาตุไชยา พบพระพุทธรูปศิลาปางสมาธิประทับบนปัทมะ เป็นพระพุทธรูปที่เก่าที่สุดองค์หนึ่งที่พบในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ และพระพุทธรูปศิลาปางแสดงธรรม มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๓

             ส่วนพระพุทธรูปปางแสดงธรรม พบที่ห้องโถงกลางของพระบรมธาตุเจดีย์ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยศรีวิชัย แสดงถึงพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ได้เผยแพร่เข้ามายังเมืองไชยาก่อนพุทธศานาฝ่ายมหายาน ซึ่งเจริญอย่างสูงสุดในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๕

             หลักฐานรูปเคารพในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่เก่าที่สุดในเมืองไชยา ได้แก่ ประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่วัดศาลาทึง มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ส่วนโบราณสถาน และโบราณวัตถุ ศิลปะศรีวิชัยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ พบอยู่มากในเมืองโบราณไชยา ซึ่งอยู่บนแนวสันทรายที่เรียกว่า สันทรายไชยามีขอบเขตตั้งแต่บ้านเวียง จนถึงบ้านวัดแก้วเกือบจดเขาน้ำร้อน ยาวตามแนวเหนือใต้เกือบสามสิบกิโลเมตร กว้างประมาณ ๕๐๐ เมตร พบโบราณสถานก่ออิฐขนาดใหญ่ที่วัดแก้ว และวัดหลงถ้ำ อยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะมีขนาดใหญ่กว่าพระบรมธาตุไชยา ประมาณ ๑ เท่า ศาสนสถานเป็นพุทธสถานในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน รูปแบบคล้ายสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า จันทิ ในชวากลาง มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ เชื่อกันว่า เรือนอิฐ (ปราสาท) ที่วัดแก้วและวัดหลง เป็นปราสาทอิฐสองหลัง ในจำนวนสามหลังที่ปรากฎในศิลาจารึกหลักที่ ๒๓ ซึ่งได้กล่าวถึงพระเจ้ากรุงศรีวิชัย จึงให้สร้างปราสาทอิฐสามหลัง เพื่อเป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์ผู้ถือดอกบัว พระผู้ผจญมาร และพระโพธิสัตว์ผู้ถือวัชระ จารึกเมื่อปีมหาศักราช ๖๙๗ ตรงกับปี พ.ศ.๑๓๑๘
             หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งคือพระพุทธรูปปางนาคปรกสำริด พบที่วัดเวียง จัดเป็นศิลปะศรีวิชัยตอนปลาย ที่ฐานนาคมีจารึกอักษรขอมเป็นภาษาเขมร กล่าวถึงการสร้างพระพุทธรูปองค์นี้เมื่อปี พ.ศ.๑๗๒๖
             ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ หลัง พ.ศ.๑๗๗๓ หลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีทิ้งช่วงขาดหายไป มาปรากฎอีกครั้งเมื่อเข้าสู่ยุคร่วมสมัยกับที่ภาคกลาง ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ - ๑๙ เข้าใจว่าเมืองไชยาน่าจะขึ้นต่อเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีกษัตริย์พระนามพระเจ้าจันทรภาณุ มีศักดิ์เทียบเท่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราช จากจารึกหลักที่ ๒๔ พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา กล่าวถึงพระเจ้าจันทรภาณุ ผู้เป็นใหญ่แห่งตามพรลิงค์ ทรงปลดปล่อยประชาชนของพระองค์ ที่ถูกชนชาติต่ำปกครองมาแล้วให้สว่างรุ่งเรือง และเมื่อปี พ.ศ.๑๕๖๘ ตามพรลิงค์ในชื่อมัทธมาลิงคัม ถูกกองทัพพรพเจ้าราเชนทร์โจฬะที่ ๑ ตีแตก จารึกหลักนี้สลักไว้ที่เมืองตันชอร์ ประเทศอินเดีย
    สภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
             แว่งแคว้นที่เติบโตขึ้นรอบอ่าาวบ้านดอนเป็นผลการค้ามากับชุมชนภายนอกและมีเครือข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมกับหัวเมืองภายใน โดยมีการเกษตรกรรมเป็นพื้นฐาน การปรากฎนครรัฐที่ไชยาในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ มีแหลมโพธิเป็นตลาดการค้าและอุตสาหกรรม (ผลิตลูกปัดแก้วเป็นสินค้าส่งออก) ผู้ปกครองมีฐานะเป็นพระราชาตามแบบวัฒนธรรมอินเดีย มีพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเป็นศาสนาประจำรัฐ
    ยุครวมสมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๑๙)
             หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ของสุราษฎร์ธานีค่อนข้างขาดแคลน ต้องอาศัยหลักฐานจากภายนอกมาเป็นตัวประกอบ หลักฐานเอกสารต่างประเทศได้แก่ หนังสือมหาวงศ์ หนังสือจุลวงศ์ พงศาวดารลังกา และจารึกของบัณฑยะในอินเดียใต้ ได้กล่าวว่าพระเจ้าจันทรภาณุได้ยกกองทัพไปโจมตีลังกาสองครั้ง ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๒ แห่งลังกา การรบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๑๗๙๐ และครั้งที่สอง เมื่อปี พ.ศ.๑๘๑๓ ต้องพ่ายแพ้แก่กองทัพลังกาทั้งสองครั้ง ในห้วงเวลานี้นครรัฐตามพรลิงค์ หรือนครศรีธรรมราช จะต้องยิ่งใหญ่และเข้มแข็ง จึงเชื่อว่าเมืองไชยาตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ น่าจะอยู่ในอาณาจักรของนครศรีธรรมราช ต่อมาเมื่อประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อาณาจักรสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง ฯ ได้แผ่อำนาจลงมายังดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยทั้งหมด
    ยุคร่วมสมัยอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๓)
             จากพระไอยการตำแหน่งนายทหารหัวเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายของราชอาณาจักรสยาม สมัยอยุธยา ประกาศไว้ เมื่อปี พ.ศ.๑๙๙๘ กล่าวถึงเมืองขึ้นของอยุธยา บริเวณคาบสมุทรไว้สี่หัวเมืองคือ เมื่อนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง เมืองไชยา และเมืองชุมพร เมืองไชยา ให้เป็นหัวเมืองตรี เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์เป็นออกพระ มีราชทินนามว่า ออกพระวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม ถือศักดินา ๕,๐๐๐
             ในพื้นที่เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีปรากฎชื่อเมืองสำคัญสี่เมืองที่ให้สร้างป่าเป็นนาคือเมืองไชยา เมืองท่าทอง เมืองไชยสงครามและเมืองเวียงสระ ทางอยุธยาได้ส่งข้าราชการสามคนมาสร้างเมืองใหม่
             เข้าใจว่าในสมัยตั้งแต่รัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้นมา ได้มีการฟื้นฟูบูรณะวัดต่างๆ ในเมืองไชยาที่สำคัญคือ วัดพระบรมธาตุ ให้เป็นวัดสำคัญประจำเมืองไชยา
             บทบาทของเมืองในสุราษฎร์ธานีในสมัยอยุธยา ค่อนข้างราบเรียบ คงจะเป็นเพราะศูนย์กลางการค้าทางทะเล ได้เปลี่ยนสถานที่ไปทำให้บทบาทของเมืองต่าง ๆ น่าจะเป็นเมืองกสิกรรมไม่โดดเด่นเช่นเมืองปัตตานี สงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช
    ยุคร่วมสมัยธนบุรี (ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔)
             ในปี พ.ศ.๒๓๒๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่ายกกองทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ เมืองไชยา และเมืองท่าทอง ได้รับความเสียหายมาก ผู้คนอพยพออกไปจากตัวเมือง เข้าใจว่าน่าจะย้ายไปตั้งเมืองใหม่ที่พุมเรียง พุมเรียงได้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองไชยา จนกระทั่งมีการสร้างทางรถไฟสายใต้ ผ่านเมืองไชยา ทำให้ศูนย์กลางเมืองไชยาได้ย้ายกลับมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟ การที่เมืองไชยาเก่าบริเวณที่ตั้งวัดเรียง ย้ายไปอยู่ที่พุมเรียงเป็นเวลาประมาณศตวรรษเศษ เป็นเหตุให้วัดต่าง ๆ ในเมืองไชยาที่เคยเจริญมาตั้งแต่ครั้งอยุธยากลายสภาพเป็นวัดร้าง เช่นวัดพระบรมธาตุไชยา วัดแก้วกาหลง เป็นต้น
             ในปี พ.ศ.๒๓๗๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) มาตั้งอู่เรือที่บ้านดอนและเมืองท่าทอง ตั้งเป็นโรงอู่ต่อเรือกำปั่นแปลงขนาดยาว ๑๑ วา ทั้งเรือพระที่นั่ง และเรือรบ สำหรับทะเลเพื่อใช้ในราชการจำนวน ๓๑ ลำ ด้วยทรงเห็นว่าชาวเมืองมีความรู้ความชำนาญในการต่อเรือมาแต่เดิม และมีไม้ตะเคียนทองที่มีคุณภาพดี หาได้ง่าย จากพื้นที่บริเวณคลองพุมดวง คลองยัน และคลองท่าทอง
             ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ - ๒๔๑๑  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน เพราะมีผู้คนตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่น นับตั้งแต่เจ้าพระยานคร (น้อย) เข้ามาตั้งกองต่อเรือ พระราชทานนามเมืองใหม่ว่า เมืองกาญจนดิษฐ์  ยกฐานะเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ฯ และได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นายพุ่ม บุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นพระยากาญจนดิษฐ์บดี ครองเมืองกาญจนดิษฐ์
    ยุคปัจจุบัน (ตันพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ถึงปัจจุบัน)
             ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยกเลิกระบบกินเมือง มาเป็นระบบเทศาภิบาล ในปี พ.ศ.๒๔๔๐  ได้มีตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ฉบับแรกในภาคใต้ แบ่งเขตการปกครองเป็นสายมณฑลได้แก่ มณฑลภูเก็ต มณฑลชุมพร และมณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพรได้รวมเมืองไชยา เมืองกาญจนดิษฐ์ (บ้านดอน) เมืองหลังสวน และเมืองชุมพร โปรดให้รวมเมืองไชยา และเมืองกาญจนดิษฐ์ เข้าเป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า เมืองไชยา (เป็นไชยาที่บ้านดอน) ชาวบ้านจึงเรียกชื่อเป็นไชยาเก่าคือ ไชยาที่พุมเรียง และไชยาใหม่คือ ไชยาที่บ้านดอน
             ต่อมาทางกรุงเทพ ฯ ได้ย้ายศูนย์กลางของมณฑลจากชุมพรมาอยู่ที่ไชยา (บ้านดอน) ผู้ที่มาเป็นข้าหลวงเทศาภิบาลคือ พระยามหิบาลบริรักษ์ คนต่อมาคือ พระยาคงคาวราธิบดี ครองตำแหน่งมาถึงปี พ.ศ.๒๔๖๘
             ในปี พ.ศ.๒๔๕๘  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ได้ประทับแรมที่ตำหนัก ณ ควนพุนพิน หรือควนท่าข้าม ทรงทอดพระเนตรเห็นประชาชนพลเมือง มีกิริยามารยาทเรียบร้อยและทรงทราบจากเจ้าเมืองว่า ประชาชนตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมเคารพหนักแน่นในพระพุทธศาสนา จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองไชยา (บ้านดอน) เป็นเมืองสุราษฎร์ธานี  ทรงเปลี่ยนชื่อแม่น้ำหลวงเป็นแม่น้ำตาปี ตามชื่อแม่น้ำตาปติในอินเดีย ซึ่งที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำมีเมืองชื่อ สุรัฎฐ (สุราษฎร์)  จึงทรงพระราชทานนามอันเป็นมงคลไว้ แกละโปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายศาลาว่าการมณฑลมาตั้งที่บ้านดอน บริเวณเดียวกับศาลากลางเมืองไชยา ให้ยกฐานะเมืองท่าทองเป็นอำเภอ และเชื่อเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นชื่ออำเภอ เมืองไชยาเก่าให้เปลี่ยนเรียกว่าอำเภอพุมเรียง (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเมืองไชยา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐  และได้ตัดคำว่าเมืองออกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๑) ทรงเปลี่ยนชื่อมณฑลชุมพรเป็นมณฑลสุราษฎรธานี
             ในปี พ.ศ.๒๔๖๙ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้ยุบมณฑลสุราษฎร์มาขึ้นกับมณฑลนครศรีธรรมราช ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๖  ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบการบริหารราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.๒๔๗๖ ทำให้ระบบเทศาภิบาลถูกยกเลิกไป จังหวัดสุราษฎรธานีจึงมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในราชอาณาจักรสยาม ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย
             สภาพเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรม การเมืองการปกครอง  ตั้งแต่ปลายพุทธศตววรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา ได้เกิดรัฐใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดรัฐใหม่ตามเขตลุ่มน้ำ และเมืองท่าที่สำคัญได้แก่
                   -  การเสื่อมอำนาจของราชอาณาจักรเขมร หลังรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มหาราชองค์สุดท้ายของกัมพูชา
                   -  ความอ่อนแอของอาณาจักรศรีวิชัย ที่ไม่สามารถคุมเมืองท่าชายทะเลที่เคยอยู่ในอาณัติได้อีกต่อไป
                   -  จีนในสมัยปลายราชวงศ์ซุ้ง ได้เปลี่ยนนโยบายการค้าจากเดิมที่มีศรีวิชียเป็นพ่อค้าคนกลาง มาเป็นเปิดให้มีเสรีทางการค้า ทำให้พ่อค้าชาวจีนเดินทางมาค้าขายกับเมืองต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้โดยตรง
             คาบสมุทรมลายูในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘  จึงมีรัฐนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่แทนที่ศรีวิชัย มีพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแบบลังกาวงศ์ เข้ามาแทนที่พุทธศาสนามหายาน พระบรมธาตุที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ จึงเชื่อว่าบ้านเมืองในคาบสมุทรมลายูรวมทั้งเมืองต่าง ๆ ในเขตจังหวัดสุราษฎรธานีน่าจะอยู่ใต้เขตการปกครองดูแลของนครศรีธรรมราช ในชื่อรัฐตามพรลิงค์
             เมื่อรัฐในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๓ และในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งได้รวบรวมอาณาจักรสุโขทัยไว้ได้ทั้งหมด และควบคุมหัวเมืองปักษ์ใต้มาไว้ทั้งหมด

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |