| ย้อนกลับ | หน้าค่อไป |


พระพากุลเถร

            สมัยหนึ่ง พระพากุลเถรอยู่ ณ เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ สมัยนั้น มีปริพพาชกผู้หนึ่งนามว่า อเจลกัสสปะ เป็นสหายของท่านมาแต่ครั้งเมื่อท่านยังเป็นคฤหัสถ์ อเจลกัสสปะได้เข้ามาพบพระมหาเถระได้สนทนากัน และได้ถามพระมหาเถระว่า ได้บรรพชามานานเท่าใดแล้ว พระมหาเถระตอบว่า ได้บรรพชามาได้แปดสิบปีแล้ว อเจลกัสสปะจึงถามต่อไปว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวท่านได้เสพเมถุนธรรมกี่ครั้ง พระมหาเถระตอบว่า คำถามนั้นเป็นคำของคนพาล  ถามประสาคนพาลภายนอกพระศาสนา แล้วท่านก็ให้อเจลกัสสปะแยกคำถามให้ต่างออกไป อเจลกัสสปะจึงถามว่า ในห้วงเวลาที่ผ่านมานั้น กามสัญญา คือความสำคัญในกามคุณนั้นได้เคยบังเกิดขึ้นกี่ครั้ง  พระมหาเถระจึงตอบว่า  กามสัญญาคือความสำคัญมั่นหมายใน  กามคุณนั้นยังไม่เคยบังเกิดเลย
            อเจลกัสสปะจึงได้ถามต่อไปถึงพยาบาทสัญญา และอวิหึสาสัญญา คือ ความสำคัญมั่นหมายในกิริยาที่ผูกพยาบาทจองเวรก็ดี เบียดเบียนสัตว์ก็ดี กามวิตก คือ ความตรึกตรองในกามคุณ ความยินดีในคหบดีจีวร คือ ผ้าจำนำพระวัสสา การฉีกและตัดจีวรด้วยคมมีด การเย็บและการย้อมจีวร พระมหาเถระก็ตอบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่เคยเกิดแก่ตัวท่าน อเจลกัสสปะก็กล่าวสรรเสริญว่า  ด้วยเหตุดังกล่าวตนก็รู้ว่าเป็นอัจฉริยอัพภูตธรรม ควรจะอัศจรรย์ของท่าน
            มีคำถามว่า  เมื่อพระมหาเถระมิได้ยินดีในการที่จะรับคหบดีจีวร  ไม่ได้กระทำการเย็บและย้อมจีวรเป็นอาทิสิ้นกาลนานนั้น  แล้วจีวรจะบังเกิดขึ้นแก่ท่านได้อย่างไร  คำถามนี้ก็มีคำตอบว่า  พระมหาเถระนั้นมียศมาก  มีบุตรและนัดดาอยู่ในเมืองอยู่มาก  คนเหล่านั้นได้นำเอาจีวรไปถวายท่านอยู่เสมอ  จีวรเก่าของท่านก็ให้ภิกษุอื่นไป  ท่านมิได้เก็บรวบรวมไว้
            มีคำถามต่อไปว่าพระมหาเถระนั้นท่านไม่เคยเข้าไปละแวกบ้าน  และท่านไม่เคยบริโภคในละแวกบ้าน  ก็มีคำตอบว่า  พระมหาเถระเป็นคนออกหน้าปรากฎอยู่ในพระนคร  ชนทั้งหลายย่อมมารับเอาบาตร  แล้วยังบาตรให้เต็มด้วยโภชนาน้อมเข้าไปถวาย  พระมหาเถระก็จะกลับมานั่งกระทำภัตตกิจ  ซึ่งมีอยู่แห่งเดียว  เป็นนิตย์มิได้ขาด
        อเจลกัสสปะได้ถามต่อไปว่า  พระมหาเถระเคยถือเอานิมิตแห่งมาตุคาม โดยอนุพยัญชนะ  เป็นต้นว่า  เนตรงาม  นมงาม  ผมงาม  หรือไม่  เคยแสดงธรรมแก่มาตุคามบ้างหรือไม่  เคยเข้าไปสู่สำนักภิกษุนีแล้วแสดงธรรมแก่ภิกษุหรือไม่  เคยแสดงธรรมแก่มาตุคามบ้างหรือไม่  เคยแสดงธรรมแก่สามเณรบ้างหรือไม่  เคยให้บรรพชาแก่สามเณร  เคยให้อุปสมบทแก่ภิกษุ  เคยให้นิสสัยแก่ภิกษุ  หรือไม่  เคยให้สามเณรเข้าไปทำวัตตปฏิบัติบำเรอ  หรือไม่  เคยกระทำบริกรรมอบรม ขัดสีกายด้วยจุรณสำหรับอาบน้ำ หรือไม่  เคยประกอบในบริกรรม  คืออบรมและขัดสีกายให้แก่เพื่อนพรหมจรรย์  หรือไม่  อาพาธความป่วยไข้  เคยบังเกิดแก่ท่านหรือไม่  พระมหาเถระก็ตอบว่า  สิ่งเหล่านั้นไม่เคยบังเกิดแก่ท่านเลย
            มีคำถามว่า  การที่พระมหาเถระเป็นผู้ที่ปราศจากโรคพยาธิ  ไม่รู้จักเจ็บไข้นั้นด้วยเหตุอันใด  มีคำตอบว่า  ในกาลศาสนาแห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้านั้น  พระองค์ได้ทรงพาภิกษุจำนวนมากเสด็จเที่ยวจาริกไปในป่าหิมพานต์  ครั้งนั้น  เป็นเทศกาลอันต้นไม้พิษทั้งหลายในป่ามีดอกบาน  โรคที่เกิดจากดอกไม้พิษก็ได้เกิดแก่ภิกษุเป็นจำนวนมาก  ในครั้งนั้น  พระมหาเถระได้บังเกิดเป็นดาบส  ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์  ได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว  จึงได้นำเอาโอสถมาถวาย  โรคที่เกิดขึ้นนั้นก็หายไป  ครั้นมาในพระศาสนกาลแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า  ครั้งนั้น พระมหาเถระได้ถวายอาหารบิณทบาตรแก่ภิกษุสงฆ์  แล้วได้สร้างโรงไฟและเวจจกุฎี  สำหรับเป็นสงฆ์บริโภค  แล้วให้จัดตั้งเภสัชวัตร  ทำยาสำหรับไข้ถวายภิกษุสงฆ์ สิ้นกาลเป็นนิตย์มิได้ขาด  ด้วยผลบุญกรรมอันนี้อำนวยผล  ท่านจึงเป็นผู้ที่ปราศจากโรคพยาธิ
            อเจลกัสสปะได้ถามต่อไปว่า  แต่แปดสิบวัสสาที่ท่านบรรพชามานั้น  ท่านยังได้สำเร็จซึ่งไสยาสน์จำวัดบ้างหรือไม่  พระมหาเถระตอบว่า  ระยะเวลาดังกล่าว เรามิได้รู้จักซึ่งกิริยาที่ไสยาสน์จำวัดเลย  โดยที่สุด แต่จะเอนหลังพิงไม้พนักนั้นก็มิได้มี  ในเรื่องนี้ แท้จริงพระมหาเถระ  ท่านประกอบในเนสัชชิกธุดงค์  และอรัญญิกธุดงค์โดยอุกฤษฎ์อย่างยิ่ง  อเจลกัสสปะถามต่อไปว่า  พระมหาเถระเคยเข้าไปจำวัสสาในคามันตเสนาสนะ  คือเสนาสนะใกล้บ้านบ้างหรือไม่  ได้เคยฉันอาหารบิณทบาตบิณฑบาต มีรสอันอร่อยควรระลึกนั้นบ้างหรือไม่  พระมหาเถระตอบในข้อแรกว่าไม่เคย  และตอบในข้อหลังว่า ท่านได้เคยฉันอาหารบิณฑบาต ที่มีรสอร่อยควรจะระลึกสิ้น 7 วันเท่านั้น  ครั้ง ณ วันที่แปดพระอรหัตตผลก็เกิด
            อเจลกัสสปะ  ได้กล่าววาจาสรรเสริญ  ว่าอันนี้ข้าพเจ้าย่อมทราบแล้วว่าเป็น  อัจฉริยอัพภูตธรรมเป็นธรรมอันอัศจรรย์  จากนั้นจึงได้ขอบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา  และเมื่อได้บรรพชาอุปสมบทแล้วไม่นาน  ก็ได้หลีกออกอยู่ผู้เดียวมิได้ประมาท  มีความเพียรเผากิเลส  มีตนอันส่งไปในพระนิพพาน  กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพระธรรมอันยิ่ง ในทิฏฐิธรรมด้วยตนเอง  ท่านได้กล่าวอุทานวาจาประกอบด้วย  โสมนัสญาณว่า  ชาติสิ้นแล้ว  พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว  กรณีกิจสิบหกประการ  ที่ต้องกระทำได้กระทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นที่จะต้องกระทำต่อไปมิได้มีแล้ว  พระอุเจลกัสสปะเถระก็ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในโลก
            ฝ่ายพระพากุลเถระได้รำพึงว่า  เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่นี้ ก็มิได้เป็นธุระแก่ภิกษุอื่น  เมื่อท่านนิพพานแล้ว สรีรกายของท่าน ก็อย่าให้เป็นปลิโพธกังวลแก่ภิกษุอื่นเลย  ดำริดังนี้แล้วท่านจึงเข้าไปสู่วิหาร  แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  เราจะนิพพานในวันนี้แล้ว  จากนั้นท่านก็เข้าสู่เตโชสมาบัติ  แล้วก็นั่งปรินิพพานในท่ามกลางภิกษุสงฆ์  ขณะนั้นเกิดเตโชธาตุขึ้นแต่สรีรกายของท่าน  เผามังสะและโลหิตให้ไหม้สิ้น  หาเชื้อมิได้  อัฐิธาตุที่เหลืออยู่อยู่มีสีขาวดุจดอกมะลิ

| ย้อนกลับ | หน้าค่อไป | บน |