| ย้อนกลับ | หน้าค่อไป |

พระพาหิยทารุจีริยเถร

            สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค สถิตอยู่ในพระเชตวนาราม ใกล้เมืองสาวัตถี พระผู้มีพระภาคได้มีพุทธฎีกาว่า บรรดาภิกษุที่เป็นสาวกแห่งตถาคต  และเป็นผู้ตรัสรู้เร็วเป็นขิปปาภิญญานั้น ภิกษุพาหิยทารุจิยะนี้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
            พระทารุจิริยเถระได้นามชื่อว่าพาหิยะนั้น เหตุท่านเกิดในแว่นแคว้นพาหิยราษฏร์ ครั้นต่อมา ท่านได้ทรงไว้ซึ่งผ้าอันกระทำด้วยแผ่นกระดาน เหตุดังนั้น ท่านจึงได้นามชื่อว่า ทารุจิริยะด้วย
            ในกาลเมื่อศาสนาพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระทารุจิริยะได้บังเกิดในตระกูลหงสวดีนคร เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาแห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า  แล้วได้เห็นพระองค์ทรงตั้งภิกษุองค์หนึ่ง ไว้ในเอตทัคคฐานที่อันเลิศ  ฝ่ายข้างตรัสรู้เร็ว จึงได้อุตสาหะกระทำอธิการกองการกุศล แล้วปรารถนาฐานันดรนั้น  แล้วอุตส่าห์บำเพ็ญกองการกุศลจนตราบสิ้นชีวิต เมื่อได้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฎสงสารกำหนดการช้านานมา  เมื่อถึงกาลศาสนาแห่งพระกัสสปพุทธเจ้า  ก็ได้บรรพชาในกาลเมื่อพระศาสนาย่อหย่อนเสื่อมถอยลง
            ในกาลครั้งนั้น  พระภิกษุอีกหกองค์รวมทั้งท่านด้วยเป็นเจ็ดองค์ ครั้นได้เห็นภิกษุอื่น กระทำความไม่เคารพในพระศาสนา  ก็บังเกิดความสังเวชสลดจิต จึงได้ปรึกษากันว่า เราควรพากันหลีกไปกระทำสมณธรรมในอันที่ควรข้างหนึ่ง  แล้วกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ จากนั้น ก็ชวนกันผูกบันไดพาดขึ้นไปบนยอกเขาสูง แล้วปรึกษากันว่าให้ผลักบันไดออกไปเสีย ผู้ใดยังมีความอาลัยในชีวิต ก็อย่าให้ลงไปได้ แล้วต่างก็กระทำซึ่งสมณธรรม เมื่อครบวันที่ห้า มีพระมหาเถระองค์ได้บรรลุพระอรหัตตผล  เป็นบุคลอันวิเศษ จึงมาดำริว่า กิจของท่านก็สำเร็จแล้ว เราควรจะทำประโยชน์อันใดในที่นี้ ดำริแล้ว ท่านก็ได้นำเอาอาหารบิณฑบาต มาแต่อุตตรกุรุทวีปด้วยฤทธิ์ นำไปถวายแก่ภิกษุผู้หลายอีก 6 รูป แต่ภิกษุทั้ง 6 ไม่ยอมรับอาหารนั้น แล้วบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป เมื่อถึงวันที่เจ็ด ภิกษุอีกองค์หนึ่งก็ได้บรรลุพระอนาคามิผล ก็ได้จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาสพรหมโลก ภิกษุอีก 5 รูป ยังเป็นปุถุชนอยู่ ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ท่องเที่ยวอยู่ในพรหมโลกและมนุษย์โลก สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ครั้นมาถึงพระศาสนาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี้ ก็ได้มาบังเกิดในตระกูลต่าง ๆ กัน
            พระพาหิยเถระนั้น  ได้มาเกิดในเรือนแห่งกฎุมพีในแคว้นพาหิยราษฎร เมื่อจำเริญวัยอยู่ในฆราวาส  มีความปรารถนาเพื่อจะประกอบกิจกรรมการค้าขาย จึงขึ้นสำเภาไปค้าในสุวรรณภูมิ  เมื่อแล่นสำเภาไปกลางทาง สำเภานั้นก็แตกในกลางมหาสมุทร  พาหิยกุลบุตรเกาะขอนไม้อยู่ในมหาสมุทรได้ 7 วัน ก็ขึ้นฝั่งได้  จึงได้เอาสาหร่ายมาพันกาย  คนทั้งหลายเห็นเข้าก็เกิดความเลื่อมใส พากันเอาผ้ามาให้เพื่อเป็นการทดลองให้รู้ชัด พาหิยกุลบุตรจึงดำริว่า จำต้องทำอุบายเลี้ยงชีวิตของตน จึงไม่รับผ้าเหล่านั้น คนทั้งหลายก็ยิ่งเลื่อมใส พากันกระทำการบูชาเป็นอันมาก พาหิยกุลบุตรดังนั้นจึงคิดที่จะกระทำให้ยิ่งไป จึงเอาแผ่นกระดานมาถากให้บาง จะร้อยเข้าด้วยเชือกปอ แล้วนำมาทำเป็นจีวรนุ่งห่ม ก็สำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอุบายอันนั้น
            ในกาลครั้งนั้น  ภิกษุที่ได้ไปบังเกิดเป็นพรหม  ได้เห็นความเป็นไปของภิกษุอีกห้ารูป ได้เห็นทารุจีริยกุลบุตรเลี้ยงตนอยู่ด้วยการโกหก ก็วิตกว่าทารุจีริยกุลบุตรจะฉิบหายเสียเปล่า มาประพฤติการลวงโลก หารู้ว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดในโลกไม่ จำตนจะไปทำให้ทารุจีริยกุลบุตร ได้ความสังเวชสลดจิต แล้วจะบอกให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดในโลกแล้ว ดำริดังนั้นแล้วจึงได้ไปหาทารุจีริยกุลบุตร แจ้งให้ทราบว่าตนคือสหายของเขาแต่กาลก่อน ได้เล่าถึงความเป็นมาของอดีตของพวกตนทั้งเจ็ดคนที่ผ่านมา  แล้วแจ้งว่าพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว ได้เสด็จประทับอยู่ในนครสาวัตถี  ขอให้ทารุจีริยกุลบุตร เร่งไปยังสำนักพระบรมศาสดาเถิด ทารุจีริยกุลบุตรได้ฟัง ก็เกิดความสังเวชสลดจิต แล้วดำริว่า ตนจำจะแสวงหาหนทางแห่งพระนิพพาน แล้วจึงออกเดินทางไปได้ไกล 120 โยชน์ ก็ทันที่พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปทรงบิณฑบาตร จึงได้เข้าไปขอให้พระผู้มีพระภาคแสดงธรรมแก่ตน พระผู้มีพระภาคทรงทราบอยู่แล้วว่า พาหิยกุลบุตรนั้นมีปัญญาอันแก่กล้าแล้ว ดังนั้น จึงทรงประทานพุทโธวาทว่า ท่านพึงศึกษาสำเหนียกในพระธรรมวินัยนี้เถิด มรรคอันท่านพึงเห็นก็จะมีแก่ท่านในอัตภาพชาตินี้ เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนา พาหิยกุลบุตรได้ส่งปัญญาไปด้วยระลึกตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฎิสัมภิทาญาณทั้ง 4 ประการ  แล้วจึงขอบรรพชาจากพระผู้มีพระภาค แต่ว่าไตรจีวรยังไม่บริบูรณ์ จึงไปเที่ยวแสวงหาอยู่ กาลครั้งนั้น แม่โคลูกอ่อนตัวหนึ่ง ได้แล่นมาประหารที่อกเบื้องซ้ายแห่งพาหิยะ สิ้นชีวิตอยู่ ณ ที่นั้น
            พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นพาหิยะ ล้มลงอยู่ที่กองหยากเยื่อ  จึงมีพุทธฎีกาตรัสว่า
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ท่านจงช่วยกันถือเอาสรีระแห่งพาหิยะนี้ไปด้วยเถิด  แล้วให้กระทำฌาปนกิจ จากนั้นก็ให้ก่อสถูป บรรจุอัฐิธาตุนั้นไว้ในหนทาง 4 แจง
            ครั้งนั้น  บรรดาภิกษุทั้งหลายได้สนทนากันว่า มรรคอันใดหนอที่พาหิยะกระทำให้แจ้งนั้น  และพาหิยะนั้นจะเป็นสามเณรหรือว่าจะเป็นสมณ พระผู้มีพระภาคได้ทราบเนื้อความนั้น จึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า  พาหิยะนั้นเป็นนักปราชญ์ดำเนินด้วยญาณคติ แล้วทรงแสดงความที่ปรินิพพานแห่ง พระพาหิยะนั้น

| ย้อนกลับ | หน้าค่อไป | บน |