| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
เมืองแพร่ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของอาณาจักรล้านนา ชาวเหนือเรียกชื่อเมืองนี้ในภาษาถิ่นว่า
เมืองแป้
เป็นศูนย์กลางการคมนาคมต่อไปยังจังหวัดน่าน
พะเยา เชียงราย ลำปาง ลำพูนและเชียงใหม่ เราจึงเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เป็นประตูสู่ล้านนา
ดินแดนแห่งอาณาจักรล้านนา ซึ่งอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน
เป็นดินแดนที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ อย่างต่อเนื่องมาช้านานหลายพันปี
ต่อมาได้รวบรวมกันจัดตั้งเป็นเมืองขนาดใหญ่หลายเมือง ได้แก่ เชียงราย
เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่และน่าน แต่ละเมืองล้วนมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน
เป็นที่ภาคภูมิใจของชนเผ่าไทมาจนถึงปัจจุบัน
จังหวัดแพร่ เป็นจังหวัดที่มีภูเขาล้อมรอบ ลักษณะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาในแนว
เทือกเขาผีปันน้ำตะวันออก
และผีปันน้ำกลาง มีภูเขาที่สำคัญ อยู่ในแนวเทือกเขาผีปันน้ำ ที่เรียกว่าดอย
ถ้ามีขนาดเล็กหรือเตี้ยจะเรียกว่าม่อน
ที่สำคัญได้แก่ ดอยหลวง ดอยแปเมือง ดอยสามเส้า ดอยช้างผาด่าน
ดอยพญาฝ่อ ดอยแม่ตั๊บ ดอยแม่ขุนน้อย ดอยแม่ระนาง
เขาพลึง ดอยหลวง ม่อนขาตุ้ย ดอยขุนจึม ดอยแม่แขม
ดอยหนองม้า ดอยผาหิ้ง ดอยหลวง ดอยผาน้ำตัน ดอยขุนห้วยบ่อทอง
ดอยแปงหลวง ม่อนกระทิง ดอยหน้าบาก ดอยปลาก่อ โดยมีดอยกู่สถานในแนวของดอยแปเมือง
เป็นยอดสูงสุดของจังหวัดแพร่ สูงประมาณ 1630 เมตร จากระดับน้ำทะเล
แหล่งน้ำตามธรรมชาติ เป็นลำน้ำตามสายสั้น ๆ จำนวน 77 สาย
ส่วนใหญ่ลงลงสู่
แม่น้ำยม
ชาวแพร่เรียกแม่น้ำลำห้วยว่า น้ำ ที่สำคัญได้แก่
น้ำแม่ปุง น้ำแม่เต้น น้ำแม่งาว น้ำแม่ใส น้ำแม่สอง
น้ำแม่คำมี น้ำแม่ถาง น้ำแม่คำปอง น้ำแม่เติ๊ก น้ำแม่หล่าย
น้ำแม่แคม น้ำร่องเปื่อย น้ำร่องผา น้ำแม่มาน น้ำแม่สาง
น้ำแม่สาย น้ำแม่พวก น้ำแม่ต้า น้ำแม่แลง น้ำแม่หยวก
น้ำแม่ลาน น้ำคุ้ม น้ำสะอิม น้ำแม่สิน น้ำแม่สรอย
ห้วยแม่พูน ห้วยแม่บง ห้วยแม่พุง ห้วยแม่แปง แม่น้ำยม
คนพื้นเมืองเป็นคนเชื้อชาติไทยซึ่งเรียกตัวเองว่า คนเมือง
นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยและชาวเขาหลายเผ่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนเชื้อสายไทย
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานอยู่ปะปนกับชาวเมือง
เป็นกลุ่มชนที่มาอยู่อาศัย ที่จังหวัดแพร่เป็นเวลานานแล้วมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่
ๆ ด้วยกันคือ
กลุ่มไทยลื้อ
เข้ามาอยู่ที่จังหวัดแพร่ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานว่ามาจากเมืองยองและเมืองเชียงแสน
ปัจจุบันหมู่บ้านของชาวไทยลื้อที่สำคัญมีอยู่ 2 แห่ง คือ บ้านถิ่น
ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมือง และบ้านหลวง
ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น ชาวไทยลื้อมีวัฒนธรรมบางอย่างที่สืบทอดกันมาถึงปัจจุบันคือ
ภาษาและอาหารการกิน
กลุ่มไทยพวน
เดิมเป็นกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาจักรล้านช้าง สันนิษฐานว่า
เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองแพร่สมัยเดียวกันกับกลุ่มไทยลื้อ ปัจจุบันชาวไทยพวนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่
บ้านทุ่งโฮ้ง
ตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมือง เดิมชาวไทยพวนมีชื่อเรียกว่าลาวพวน ชาวไทยพวนบ้านทุ่งโฮ้ง
ยังสืบทอดวัฒนธรรมเดิมที่สำคัญได้แก่ ภาษาพูด และพิธีกรรมบางอย่าง เช่น
ประเพณีกำฟ้า
เป็นต้น
กลุ่มไทยใหญ่
เป็นกลุ่มชนที่ ชาวเหนือเรียกว่าเงี้ยว
และได้เคยก่อความไม่สงบขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2445 เรียกว่า กบฏเงี้ยวเมืองแพร่
ทางกรุงเทพ ฯ ต้องส่งกำลังขึ้นไปปราบปรามจนสงบราบคาบ หลังจากนั้นชนชาวเงี้ยวก็ได้ปรับตัวรับวัฒนธรรมของชาวเมืองแพร่
จนปัจจุบันได้กลายเป็นชาวแพร่ไปจนหมดสิ้น
กลุ่มก้อบ้านดง
เป็นกลุ่มชนที่สัณนิษฐานว่า อพยพมาจากทิเบต มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองแพร่มานานกว่า
100 ปีแล้ว ปัจจุบันคือ หมู่บ้านดง
ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมือง ได้ปรับตัวเป็นคนไทยแต่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมในด้านภาษาพูดไว้ได้
โดยใช้เป็นภาษาสื่อความหมายภายในหมู่บ้าน คือภาษามปี
กลุ่มชนชาวเขาหรือชาวไทยภูเขา
เป็นกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานกระจายไปทั่วภาคเหนือของไทย ในส่วนของจังหวัดแพร่
มีชาวเขาเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อำเภอสอง อำเภอร้องกวาง
อำเภอลอง และอำเภอวังชิ้น ประกอบด้วยเผ่าต่าง ๆ 5 เผ่า คือ
เผ่ากะเหรี่ยงหรือยาง อยู่ในเขตอำเภอวังชิ้น
และอำเภอลอง มี 14 หมู่บ้าน เป็นชาวเขากลุ่มใหญ่ที่สุดของจังหวัดแพร่
เข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ ก่อนปี พ.ศ. 2400 ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ยังยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้านอย่างเคร่งครัด
เผ่าม้งหรือแม้ว อยู่ในเขตอำเภอสอง
และร้องกวาง 4 หมู่บ้าน เข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดแพร่เมื่อไม่นานมานี้
ประมาณปี พ.ศ. 2514 ในเขตภูเขาสูง มีขนบธรรมเนียมแตกต่างจากชาวเมืองโดยทั่วไป
ค่อนไปทางคนจีน เช่น ลำดับวงศ์ตระกูล (แซ่) บูชาบรรพบุรุษ เป็นต้น
เผ่าอีก้อ อาศัยอยู่บริเวณหุบเขาเขตอำเภอสอง
และอำเภอวังชิ้น มี 2 หมู่บ้าน เข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.
2516 โดยอพยพมาจากจังหวัดเชียงราย ชาวอีก้อยึดมั่นและเชื่อในลัทธิบูชาที่เข้มงวดมาก
ทำให้ปรับตัวได้ยาก
เผ่าลีซอหรือลีซู เข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณปี
พ.ศ. 2533 โดยอพยพจากจากอำเภอพบพระจังหวัดตาก มีอยู่เพียงหมู่บ้านเดียวที่อำเภอลอง
มีขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างจากชาวเขาเผ่าอื่น มีการสืบสกุลลักษณะคล้ายกับแซ่ของชาวจีน
เผ่าตองเหลือง เป็นคนกลุ่มน้อยพวกคนป่า
มักเรียกตนเองว่า มาลาบุรี มีอยู่เพียง 1 หมู่บ้าน ที่บ้านบุญยืน ตำบลบ้านเวียง
อำเภอร้องกวาง มีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย เคลื่อนย้ายที่อาศัยอยู่เสมอ
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
ในพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดแพร่มีร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ที่บ้านต้าแป้น บ้านต้าเวียง ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง ได้พบขวานหินกระเทาะ
และขวานหินขัดหรือขวานหินมีบ่าที่ชาวบ้านเรียกว่า เสียมตุ่น
นอกจากนั้นยังพบเครื่องมือโลหะที่ทำด้วยสำริด ที่ชาวบ้านเรียกว่า ขวานฟ้าผ่า
ในเขตอำเภอลอง และอำเภอวังชิ้น
ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำยมมีร่องรอยหลักฐานของชุมชนโบราณเป็นคูเมือง และกำแพงในเกือบทุกอำเภอ
ยุคการก่อตั้งชุมชนอาจจะเริ่มต้นโดยกลุ่มชาวลัวะ หรือละว้า ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือของไทย
มานานหลายพันปี จากตำนานพระธาตุช่อแฮ มีว่า ขุนลัวะชื่ออ้ายค้อม เป็นผู้สร้างพระธาตุช่อแฮ
และมีเรื่องเล่าต่อกันมานานว่า ชุมชนโบราณบางแห่งเป็นเมืองของลัวะของแจ๊ะ
จากการสำรวจด้วยภาพถ่ายทางอากาศ รวมทั้งจากการศึกษาจากเอกสาร และคำบอกเล่า
มีแหล่งชุมชนโบราณในพื้นที่จังหวัดแพร่อยู่ 24 แห่ง คือ เมืองแพร่
วังมอญ วังธง เวียงตั้ง เมืองลองหรือเมืองสรอง เวียงเทพ
ชุมชนโบราณใกล้วัดจันทร์ เวียงสันทราย เวียงทอง บ้านพระหลวง
บ้านสูงเม่น บ้านเด่นชัย บ้านบ่อแก้ว เมืองลอง เวียงต้า
เวียงเชียงชื่น เมืองโกณหลวง เมืองลัวะ เหล่าเวียงชุมชนโบราณแม่วัง
เมืองตรอกสลอบ และชุมชนโบราณบ้านแม่บงเหนือ เฉพาะสำคัญมีดังนี้
เมืองลองหรือเมืองสรอง
อยู่ที่บ้านต้นผึ้ง ตำบลบ้านกวาง อำเภอลอง บนฝั่งแม่น้ำลอง หรือแม่น้ำกาหลง
เป็นชุมชนโบราณขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 120 ไร่ มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ
3 ชั้น ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง สันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในสมัยล้านนา
และสุโขทัยลงมา คนในท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นเมืองของพระเพื่อน
พระแพง ในวรรณคดีไทย เรื่อง ลิลิตพระลอ
ด้านนอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีซากเจดีย์เก่าแก่ ชาวบ้านเรียกว่า
ธาตุหินส้ม
และเรียกชื่อเมืองนี้ว่า เวียงหินส้ม
ปัจจุบันได้มีการบูรณะธาตุหินส้ม และสร้างวัดขึ้นให้ชื่อว่า วัดธาตุพระลอ
เมืองเวียงลองถูกปล่อยทิ้งร้างมานานหลายร้อยปี จึงได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อปี
พ.ศ. 2495
เวียงเทพ
อยู่ที่บ้านร่องด่าน ตำบลห้วยหม้าย อำเภอลอง เป็นชุมชนโบราณมีขนาดใหญ่กว่าเมืองลอง
และได้ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 100 ปี ตำนานการสร้างเวียงเทพมีอยู่ว่า
เมืองนี้สร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันกับเมืองลอง โดยพวกม่านเป็นผู้สร้าง เป็นเมืองที่มีคูน้ำ
และคันดินล้อมรอบ 1 ชั้น เดิมมีซากสถูปเจดีย์ของวัดร้างภายในแนวกำแพงดิน
และมีภาชนะดินเผาทั้งชนิดเคลือบ และชนิดแกร่ง ปัจจุบันแนวกำแพงดินถูกขุดไถทำลาย
เหลือเป็นเนินดินเตี้ย ๆ ส่วนซากวัด เจดีย์ และเศษภาชนะถูกขุดไถทำลายทิ้งหมด
เพื่อในเป็นพื้นที่ทำนา
เวียงสันทราย
อยู่ที่บ้านเวียงเหนือ ระหว่างเขตตำบลน้ำเลา และตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง
มีคู และคันดินล้อมรอบชุมชนปรากฎอยู่ เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีการสร้างบ้านเรือนใหม่ทับชุมชนเดิม
บรรดาคูน้ำและคันดิน ถูกไถทำลายไป เหลืออยู่เพียงบางส่วน ภายในเขตชุมชนเคยมีผู้พบ
ภาชนะดินเผาชนิดแกร่ง และชนิดเคลือบ เมืองนี้ถูกทิ้งร้างไปนาน
ชุมชนแห่งใหม่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440
ชุมชนโบราณบ้านแม่คำมีท่าล้อ
อยู่ที่บ้านแม่คำมีท่าล้อ ระหว่างเขต ตำบลแม่คำมี อำเภอเมือง และตำบลแม่คำมีรัตนปัญญา
อำเภอหนองม่วงไข่ ชุมชนแห่งนี้สร้างอยู่สองฝั่งลำน้ำแม่คำมี จึงมีลักษณะต่างจากชุมชนโบราณแห่งอื่นที่สร้างติดลำน้ำด้านเดียว
ปัจจุบันยังปรากฎแนวคันดินสองฟากลำน้ำ เป็นชุมชนขนาดเล็ก ชาวบ้านเล่าสืบต่อกันมาว่า
พวกม่านเป็นผู้สร้าง ในเขตชุมชนเคยมีผู้พบภาชนะดินเผาคล้ายกับที่พบในเมืองลอง
และเมืองเวียงเทพ
บ้านพระหลวงธาตุเนิ้ง
อยู่ที่ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น ชุมชนแห่งนี้ไม่ปรากฎมีคูน้ำและคันดิน
ล้อมรอบ แต่มีโบราณสถานสำคัญคือ พระธาตุเนิ้ง
เป็นเจดีย์ทรงปราสาท อยู่ในวัดพระหลวง รูปแบบเจดีย์เป็นศิลปะเชียงแสน
อายุอยู่ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 21 สร้างโดยกลุ่มชนที่อพยพมาจากเมืองเชียงแสน
ปัจจุบันองค์พระธาตุได้รับการซ่อมแซมบูรณะโดยกรมศิลปากร และขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ
เวียงต้า
อยู่ที่บ้านต้าม่อน ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง บริเวณที่ตั้งเป็นที่ราบลูกคลื่นใกล้ภูเขามีแนวกำแพงดิน
3 ชั้น ล้อมเป็นรูปครึ่งวงกลม รอบภูเขาที่เรียกว่าผาเจ้า บริเวณใกล้เคียงนอกกำแพงวัดมีวัดเก่าแก่ที่สำคัญคือ
วัดต้าม่อน มีจิตรกรรมฝาผนัง เป็นชาดกเรื่อง ก่ำก๋าดำ และมีวัดเวียงต้าเป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่ง
ในพื้นที่ตำบลเวียงต้ามีการพบขวานหินขัด กล้องยาสูบดินเผา ไม่ปรากฎหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างเมืองนี้
แต่มีประวัติว่า พวกพม่าได้เข้ามาบูรณะสร้างวัด และชุมชน
เมืองลอง
เป็นชุมชนโบราณที่มีขนาดใหญ่ และสำคัญของจังหวัดแพร่ เมืองลองปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์อาณาจักรล้านนา
สมัยพระเจ้าติโลกราช ในฐานะที่เป็นเมืองหน้าด่านทางด้านทิศใต้
ของอาณาจักรล้านนา
เมื่อทำศึกสงครามกับอาณาจักรอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
เมืองลองยังมีชื่ออีกคือ เมืองเววาทภาษิต เมืองกกุฎไก่เอิ้ก และเมืองเชียงชื่น
ที่ตั้งเมืองลองในระยะแรกสันนิษฐานว่าอยู่ริมแม่น้ำยม บริเวณบ้านไฮสร้อย
ตำบลปากกลาง อำเภอลอง มีคันดินเป็นกำแพงล้อมรอบเมืองทั้งสี่ด้าน
ภายในเขตเมืองมีซากพระธาตุเก่าแก่เหลืออยู่ คือที่วัดไฮสร้อย ปัจจุบันแนวคันดิน
และหลักฐานต่าง ๆ ทางโบราณคดีถูกไถทำลายเพื่อใช้พื้นที่ทำนา
เมืองลอง มีเจ้าเมืองที่เป็นที่รู้จักกันดี และเล่าสืบกันมาได้แก่ หมื่นดังนคร
พระยาหัวเมืองแก้ว เจ้าเลาคำ เจ้ากระโจ๋มหัวคำ เจ้าช้างแดง
เจ้าช้างปาน และพญาคันธสีมาโลหกิจ เจ้าเมืองลองคนสุดท้าย เมืองลองไม่เคยถูกทิ้งร้างเหมือนชุมชนโบราณแห่งอื่น
เมื่อปี พ.ศ. 2035 พระยาหัวเมืองแก้วได้ย้ายที่ตั้งเมืองลองมาอยู่บริเวณริมหนองอ้อ
อันเป็นที่ตั้งของวัดพระธาตุศรีดอนคำ
ในปัจจุบัน
ชุมชนโบราณบ้านแม่บงเหนือ
อยู่ที่บ้านแม่บงเหนือ ตำบลปากจอก อำเภอวังชิ้น เป็นชุมชนโบราณขนาดเล็ก
ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยใด จากเรื่องที่เล่าขานกันมา
ชุมชนแห่งนี้เป็นเมืองของพวกลัวะ ซึ่งเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่อยู่ในภาคเหนือของไทยก่อนการตั้งอาณาจักรล้านนา
หลักฐานที่ปรากฎอยู่คือกำแพงดินที่ชาวบ้านเรียกว่า คือเวียง
อยู่บนภูเขา
กำแพงดินนี้ทอดยาวมาจากชุมชนโบราณ บ้านแม่รัง ซึ่งเป็นชุมชนโบราณขนาดเล็ก
อีกแห่งหนึ่ง ในตำบลบ่อเหล็กลอง อำเภอลอง
เมืองตรอกสลอบ
อยู่ที่บ้านนาเวียง ตำบลวังชิ้น อำเภอวังชิ้น เป็นชุมชนโบราณขนาดเล็ก
อยู่บนฝั่งขวาแม่น้ำยมใกล้กับปากห้วยสลก มีคูน้ำคันดินล้อมรอบอยู่ 2
ชั้น ภายในเขตเมืองมีซากวัดร้าง มีผู้พบศิลาจารึกที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดแพร่
ในจารึกนี้ได้ระบุชื่อเมืองตรอกสลอบ สันนิษฐานว่า จารึกนี้สร้างขึ้นประมาณ
ปี พ.ศ. 1882 ปัจจุบันวัดในเขตเมืองนี้ได้รับการบูรณะ และให้ชื่อว่าวัดบางสนุก
กำเนิดเมืองแพร่
ตำนานพระธาตุช่อแฮกล่าวว่า เมืองแพร่มีมาแต่สมัยพุทธกาล ตำนานวัดหลวงกล่าวว่า
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 1371 พ่อขุนหลวงพล ราชนัดดากษัตริย์น่านเจ้าได้อพยพคนไทยส่วนหนึ่งจากเมืองเชียงแสน
เมืองไชยบุรี และเวียงนางคำ ลงมาสร้างเมืองบนที่ราบริมฝั่งแม่น้ำยม
ให้ชื่อว่า เมืองพลนคร
อันเป็นที่ตั้งของเมืองแพร่ในปัจจุบัน
จากผังเมืองที่เป็นรูปวงรีไม่สม่ำเสมอ รูปร่างคล้ายรอยเท้า คล้ายผังเมืองหริภุญไชย
หรือลำพูน และการขุดค้นหลักฐานทางโบราณคดี ประมาณอายุของเมืองทั้งสองนี้ว่าสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่
17 และจากตำนานสิงหนวัติที่กล่าวว่าพญาญีบา แห่งแคว้นหริภุญไชยปกครองเมืองแพร่
ทำให้สันนิษฐานว่าเมืองแพร่ และเมืองลำพูน สร้างขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน
และมีความเกี่ยวข้องกัน
เมืองพล
นครพล หรือพลรัฐนคร เป็นชื่อเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดที่พบในตำนานเมืองเหนือ
ฉบับใบลาน พ.ศ. 1824 เมื่อศึกษาตำแหน่งที่ตั้งของนครพลตามตำนานดังกล่าวพบว่า
คือเมืองแพร่นั่นเอง
เมืองโกศัย
เป็นชื่อที่ปรากฎในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน ใช้เรียกชื่อเมืองแพร่ในสมัยที่ขอมมีอำนาจ
ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเมืองในอาณาจักรล้านนาเป็นภาษาบาลี เมืองโกศัยน่าจะมีที่มาจากชื่อดอยอันเป็นที่ประดิษฐาน
พระธาตุช่อแฮ
ซึ่งเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองแพร่
คือดอยโกสิยธชัคบรรพต
หมายถึง ดอยแห่งธงผ้าแพร
เมืองแพล
เป็นชื่อที่ปรากฎอยู่ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หลักที่ 1 มีข้อความตอนหนึ่งว่า.....
เบื้องตีนนอน รอดเมืองแพล
เมืองน่าน..... เมืองพลัว พ้นฝั่งของ เมืองชวาเป็นที่แล้ว.....
เมืองแพร่
เป็นชื่อที่คนไทยในอาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรอยุธยาใช้เรียกเมืองแพล
ซึ่งอาจจะกลายเสียงมาเป็นแพรหรือแพร่ หรืออีกประการหนึ่ง มาจากความหมายของดอยโกสิยธชัคบรรพต
อันหมายถึงดอยแห่งธงผ้าแพร ดังกล่าวมาแล้ว
เมืองแป้
เป็นชื่อที่ชาวแพร่ใช้เรียกเมืองของตนด้วยภาษาคำเมือง ซึ่งกลายเสียงตัว
พ เป็นตัว ป หมายถึงการแพร่กระจายออกไป
กำแพงเมืองแพร่
ชาวแพร่เรียกแนวคันดินที่ล้อมรอบตัวเมืองว่า เมฆ
แนวคันดินนี้คือกำแพงเมืองปัจจุบัน มีความสูงประมาณ 5 เมตร กว้างประมาณ
10 เมตร ล้อมรอบเมืองที่ยาวประมาณ 1,400 เมตร และกว้างประมาณ
800 เมตร
คูเมืองอยู่ชิดรอบนอกคันดิน ชาวแพร่เรียกว่า น้ำคือ คูเมืองที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันกว้างประมาณ
10 เมตร แนวคูเมืองโอบล้อมแนวกำแพงเมือง ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนด้านที่เหลืออาศัยลำน้ำแม่แคม
ซึ่งไหลเลียบกำแพงเมือง เป็นคูเมืองตามธรรมชาติ มีความยาวประมาณ
1,000 เมตร
ประตูเมืองแต่เดิมมี 4 ประตู คือ ประตูชัย
ประตูศรีชุม ประตูยั้งม้า หรือประตูเลี้ยงม้า
และประตูมาร ความกว้างของประตูมีขนาดเพียงให้เกวียน
และช้างผ่านได้เท่านั้น
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |