| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางโบราณคดี | มรดกทางวัฒนธรรม | |
มรดกทางโบราณคดี
จังหวัดสตูล มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นโบราณสถาน และโบราณวัตถุอยู่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตามบริเวณที่ตั้งเมืองสตูล ได้มีชุมชนโบราณมาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว
เป็นเทือกเขามีถ้ำตื้น ๆ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขา อยู่ในเขตตำบลทุ่งหว้า
อำเภอทุ่งหว้า พบโบราณวัตถุประเภทหิน และประเภทดินเผา
ประเภทหิน เป็นหินลับ ทำด้วยหินทรายมีลักษณะเป็นแท่ง
ยาวหนา มีรอยการขัดฝน เป็นร่องลึกลงไปในเนื้อหิน อีกชิ้นหนึ่งเป็นก้อนหินปูนรูปสามเหลี่ยมค่อนข้างหนา
หน้าหนึ่งเป็นร่องคล้ายถูกขัดที่ผิวของหิน หินสะเก็ดกรวด เป็นหินกรวดท้องน้ำ
มีรอยแตกกระเทาะ แต่ไม่มีลักษณะเป็นเครื่องมือที่ชัดเจน
ประเภทดินเผา
พบเศษดินเผา ๖ ชิ้น เนื้อหยาบมีกรวดปน ตกแต่งผิวเรียบ ๑ ชิ้น เคลือบด้วยน้ำดินสีแดง
ทั้งด้านนอกและด้านใน ๑ ชิ้น และตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบด้านนอก ๑ ชิ้น ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ
เนื้อหยาบมีกรวดปน ๓ ชิ้น
แหล่งโบราณคดีถ้ำหอย
อยู่ในถ้ำหินปูน ที่บ้านปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง พบเศษภาชนะดินเผา จำนวนมาก
เป็นเศษภาชนะดินเผา ผิวลายเชือกทาบ ผิวขัดมัน และหม้อสามขา
แหล่งโบราณคดีถ้ำลาชิบ
และถ้ำแคล้ว ๑
อยู่ที่เพิงผา ในเขตบ้านปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง พบเครื่องมือหินก่อนประวัติศาสตร์
แหล่งโบราณคดีถ้ำหัวลิง
อยู่ในโพรงลึกของถ้ำในภูเขาหินปูน อยู่ในเขตตำบลน้ำผุด อำเภอละงู พบเศษภาชนะดินเผาประดับตกแต่งผิวด้วยลวดลายขูดขีด
แหล่งโบราณคดีถ้ำภูผาเพชร อยู่ในถ้ำขนาดใหญ่
ภายในมีโพรงลึกเป็นคูหากว้าง ที่คูหาด้านทิศตะวันตกพบเศษภาชนะดินเผา และเปลือกหอย
ชิ้นส่วนกระดูกของมนุษย์
แหล่งโบราณคดีถ้ำโพธิยอม เป็นเพิงผาอยู่ที่บ้านหนองราโพธิ
ตำบลน้ำผุด อำเภอละงู พบเศษภาชนะดินเผาเปลือกหอย และกระดูกมนุษย์
ภาษาและวรรณกรรมพื้นบ้าน
ชาวเมืองสตูลมีภาษาและวรรณกรรมพื้นบ้านที่มีลักษณะแตกต่าง จากจังหวัดอื่น
ๆ ใน ๓ เรื่องคือภาษาถิ่น เพลงกล่อมเด็ก ตำนาน และนิทานพื้นบ้าน
ภาษาถิ่น มีอยู่สองลักษณะคือ
ภาษาถิ่นใต้และภาษาถิ่นมลายู ภาษาถิ่นใต้มีลักษณะคล้านสำเนียงของชาวพัทลุง
และสงขลาเนื่องจากมีพื้นที่ติดต่อกัน ส่วนภาษาถิ่นมลายูนั้น เนื่องจากเจ้าเมืองในอดีตของเมืองสตูลสืบเชื้อสายมาจากไทรบุรี
ซึ่งใช้ภาษามลายู ชาวสตูลจึงใช้ภาษาถิ่นใต้ปนกับ ภาษามลายู ซึ่งไม่ปรากฏในจังหวัดใกล้เคียงอื่น
ๆ
ตำนานและนิทานพื้นบ้าน
- ตำนานเรื่องพญาวังษา บนเขาพญาวังษาเชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของชาวพับแพว ซึ่งเป็นชาวเมืองที่เร้นลับและเล็กแคระ วันดีคืนดีจะมีผู้พบเห็นคนเหล่านี้ ที่ปากถ้ำทางทิศใต้ของภูเขาพญาวังษา บริเวณนี้จะมีสายน้ำไหลตลอดปี มีปลา ปู อุดมสมบูรณ์เป็นอาหารของผู้คนในละแวกนั้น สายน้ำนี้ถือว่าไหลมาจากเมืองพับแพว ผู้ใดได้อาบกินจะเป็นศิริมงคล แก่ตนเอง
- ตำนานเรื่องเขาขาว เรื่องมีอยู่ว่า มีนายพรานคนหนึ่งไปล่าสัตว์ ได้พบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มีน้ำขังตลอดปี ในบ่อมีงูใหญ่ตัวหนึ่งสีขาวตลอดตัวเฝ้าบ่อน้ำนี้อยู่ เมื่อชาวบ้านรู้ข่าวก็พากันไปดูแล้วเกิดเลื่อมใสว่าเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ และเรียกงูตัวนี้ว่าโต๊ะเขาขาว ปัจจุบันเป็นชื่อหมู่บ้านเรียกว่า บ้านเขาขาว
- ตำนานเรื่องควนกาหลง ควนกาหลง เป็นอำเภอในจังหวัดสตูล มีเรื่องเล่าว่า สภาพหมู่บ้านเต็มไปด้วยควนหลายลูก และมีกาอาศัยอยู่มาก อยู่มาวันหนึ่ง ฝูงกาพากันบินไปหาอาหารในป่า ห่างไกลจากหมู่บ้านตกเย็นก็บินกลับรัง แต่เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกันมาก เลยจำรังไม่ได้กลับรังไม่ถูก ได้แต่บินร้องกา ๆ ๆ อยู่ตลอดคืน ชาวบ้านจึงตั้งชื่อบริเวณนี้ว่า บ้านควนกาหลง
- ตำนานเรื่องบ้านปากงู
บ้านปากงูอยู่ในตำบลละงู อำเภอละงู มีเรื่องเล่าว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นชาวละงู
สามีเป็นคนหาของป่าขาย วันหนึ่งสองสามีภรรยาได้เดินทางไปที่บ้านปากงู
ระหว่างทางฝ่ายภรรยาได้เห็นงูยักษ์ตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามาหานาง ฝ่ายสามีจึงเอาหอกพุ่งเข้าปากงู
ทำให้เลือดงูไหลท่วมบริเวณนั้นเต็มไปหมด ชาวบ้านทราบเรื่องจึงเรียกหมู่บ้านนี้ว่า
หมู่บ้านปากงู
- ตำนานเรื่องฉลุง
ฉลุงเป็นชื่อตำบลในอำเภอเมืองฯ เดิมเป็นหมู่บ้าน มีชื่อในภาษามลายูว่ากำปงจีนา
แปลเป็นไทยว่า บ้านจีน หมู่บ้านนี้เดิมมีชาวจีนอาศัยอยู่ ทางราชการได้ประกาศเป็นตำบล
เรียกว่า ตำบลบ้านจีน และเปลี่ยนเป็นตำบลฉลุงในรัชสมัยรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
เป็นนายกรัฐมนตรี คำว่าฉลุง หมายถึง คอก หรือเพนียดคล้องช้าง ในสมัยก่อนเจ้าเมืองเลี้ยงช้างไว้เป็นจำนวนมาก
เมื่อลูกช้างเติบโตพอใช้งานได้ ก็จะมีพิธีจับช้างโดยการไล่ต้อนเข้าฉลุงเพื่อเข้าฝึกใช้งาน
- ตำนานเรื่องทะเลบัน
ทะเลบันเป็นบึงน้ำจืด อยู่ระหว่างเขาจีนและเขามดแดง ในเขตตำบลควนตอ อำเภอควนโดน
มีเรื่องเล่าว่า คืนหนึ่งผู้คนทั้งหมู่บ้านฝันเห็นคนแก่นุ่งขาวห่มขาวมาบอกให้ชาวบ้าน
อพยพออกไปจากหมู่บ้าน เพราะพื้นที่บริเวณนั้นจะจมลงไปใต้น้ำ วันรุ่งขึ้นชาวบ้านส่วนใหญ่จึงอพยพออกไป
แต่ส่วนน้อยยังไม่ยอมไป หลังจากนั้นอีก ๗ วัน เกิดฝนตกหนัก หมู่บ้านดังกล่าวก็จมหายไปใต้น้ำ
ปรากฏเป็นแอ่งน้ำใหญ่ใสสะอาดมองเห็นตอไม้ใต้น้ำได้ชัดเจน
นอกจากนี้ยังมีตำนานเรื่องผาใช้หนี้ บ้านทุ่งขมิ้น บ้านนาพญา บ้านวังพระเศียน
บ้านขอบคลาน ภูเขานางพลับพลึง ฯลฯ
มรดกทางวัฒนธรรม
มรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดสตูล คล้ายกับมรดกทางวัฒนธรรมของ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
อาหารการกิน
แบ่งออกได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ ชาวไทยพุทธ ชาวไทยอิสลาม และชาวจีน ในที่นี้จะกล่าวถึงอาหารที่ใช้ในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนาของทั้งสามกลุ่มดังกล่าวข้างต้น
อาหารในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนาพุทธ
ในเทศกาลเดือนสิบของหวานจะมีขนมลา
ขนมเจาะหู ขนมเทียน และขนมพอง ของคาวมี
แกงไก่ใส่หน่อไม้ แกงส้ม แกงสมรม ส่วนผลไม้จะเป็นผลไม้ตามฤดูกาล เช่น ลางสาด
เงาะ ทุเรียน ฯลฯ
อาหารในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม
อาหารที่นิยม ในงานบุญ และงาน แต่งงาน มีดังนี้
ของหวาน
ได้แก่ ขนมกาเปด (โกยเปด) คล้ายกับทองม้วน ขนมบูหลู (ขนมไข่) ขนมโกยหยา (ขนมถั่วอัด)
ขนมโกยจาไบ ขนมพริก ของคาว ได้แก่แกงแดง (แกงเผ็ด) แกงกุรม่า (แกงขาว) แกงปัจจาหัว
ยำหอย อาจาด อาหารเหล่านี้จะทำกันเฉพาะในโอกาสพิเศษที่สำคัญ ๆ เท่านั้น เพราะมีวิธีการที่ค่อนข้างยุ่งยาก
การปรุงอาหารมีลักษณะพิเศษคือ ใช้เครื่องเทศในอาหารคาวเกือบทุกชนิด ไม่ใช้น้ำปลาในการปรุงรส
ใช้กะทิมะพร้าวเป็นเครื่องปรุง ใช้เนื้อล้วน ๆ ไม่ใช้ผัก และรสอาหารไม่จัด
วิธีรับประทานอาหารของชาวไทยอิสลาม นิยมนั่งกับพื้นล้อมเป็นวง มีน้ำล้างมือ
การรับประทานภายใจครอบครัวจะรับประทานพร้อมกัน เวลาในการรับประทานอาหาร จะสัมพันธ์กับการละหมาดด้วย
ส่วนใหญ่จะละหมาดให้เสร็จก่อนแล้วจึงไปรับประทานอาหาร ส่วนการรับประทานอาหารในงานบุญนุหรี
หรือในงานแต่งงาน จะแยกวงกันระหว่างชาย - หญิง ไม่รับประทานร่วมกัน
ในการมาร่วมงาน แม่บ้านจะนำปิ่นโตหรือหม้อที่บรรจุข้าวสาร หรือน้ำตาลมาช่วยงาน
เวลากลับเจ้าภาพจะแบ่งปันอาหารให้แขกนำกลับบ้านด้วย การเลี้ยงเจ้าภาพจะรับเลี้ยงตลอดวัน
อาหารเซ่นไหว้บรรพบุรุษของชาวจีน ประเพณีการเซ่นไหว้ของชาวจีนยังคงปฏิบัติกันอยู่อย่างเคร่งครัดปีละ
๓ ครั้ง คือ ในเทศกาลตรุษจีน เช็งเม้ง และสารทจีน อาหารที่ใช้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ
นอกจากเหล้าขาว น้ำชา หมู เป็ด ไก่ และผลไม้แล้วยังมีของคาวหวานอีกหลายอย่าง
อาหารคาวจะเป็นอาหารที่ปรุงแบบผัด และต้ม ไม่มีแกง เช่น ต้มพะโล้ ผัดเครื่องในไก่ใส่เห็ด
และไข่นกกระทา ผัดยี่หู่ อันประกอบด้วย หมูสามชั้น ปลาหมึก กล่ำปลี และหัวมันแกว
แกงจืด ฯลฯ อาหารไม่นิยมรสจัด ส่วนผลไม้ที่ใช้เซ่นไหว้ ได้แก่ องุ่น แอปเปิล
สาลี่ ส้มเกลี้ยง ส้มโอ แตงโม สับปะรด เงาะ มะม่วง ละมุด ฯลฯ สำหรับของหวานจะได้แก่
ขนมกาเปด ขนมเข่ง ขนมปังเกด ขนมอาปบ ขนมเต่า เหนียวเขียว (ข้าวเหนียวอัด)
ฯลฯ
การแสดงดาระ
ดาระ เป็นศิลปการแสดงประเภทรำพื้นเมืองของชาวไทยอิสลาม ที่มีเฉพาะภายในจังหวัดสตูล
มีความเป็นมาที่เก่าแก่ เนื้อเพลงมีหลายภาษา และมีความสัมพันธ์กับศาสนาอิสลาม
ปัจจุบันหาชมได้ยาก ดาระน่าจะมีถิ่นกำเนิดในแถบภาคตะวันออกกลาง ผ่านอินโดนีเซีย
มาเลเซีย เข้าสู่ประเทศไทยทางจังหวัดสตูล หลังสงครามมหาเอเซียบูรพา การแสดงดาระได้ค่อย
ๆ เสื่อมความนิยมจนเกือบจะสูญหายไป
ในอดีตคนในหมู่บ้านจะนิยมรำดาระเพื่อความบันเทิง หลังจากทำงานหนักมาตลอดวัน
มีผู้จัดตั้งเป็นคณะรำดาระเป็นอาชีพ ทุกงานที่เป็นงานมงคลจะจัดให้มีการแสดงดาระเสมอ
เช่นงานแต่งงาน งานเข้าสุหนัด งานขึ้นบ้านใหม่ พิธีลาซัง งานเมาลิด วันฮารีรายอ
และงานรื่นเริงต่าง ๆ
ดาระแสดงได้ทุกที่ เช่นในท้องนา ลานบ้าน ใต้ถุนบ้าน หรือบนเวที แล้วแต่โอกาสและความสดวก
ปัจจุบันการแสดงดาระหาชมได้ยาก จะแสดงเฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น
การแสดงดาระจะรำเป็นคู่ ๆ ไม่จำกัดจำนวน เดิมผู้แสดงเป็นชายล้วน แล้วแต่งคู่รำให้เป็นหญิง
ต่อมาจึงเป็นชายจริงหญิงแท้ การแสดงจะเป็นลักษณะของการร่ายรำ หัวใจสำคัญอยู่ที่ความพร้อมเพรียง
ท่ารำดาระแต่เดิมมีมากถึง ๔๔ เพลง ถือท่ารำ ๑ ท่าต่อเพลง ๑ เพลง ปัจจุบันนิยมแสดงเพียง
๖ - ๙ เพลง การแสดงดาระจะรำหลาย ๆ เพลงติดต่อกัน เช่นเดียวกับรองเง็ง และรำวงมาตรฐาน
เริ่มจากเพลงไหว้ครูทุกครั้ง และจบด้วยเพลงอำลา ท่ารำดาระมีท่านั่งรำ และท่ายืนรำ
เริ่มแสดงโดยผู้แสดงออกมานั่งเรียงหน้ากระดานเป็นคู่ ชาย - หญิง การแสดงท่ารำของแต่ละเพลง
มีการเดินวนแปรแถวในลักษณะต่าง ๆ ความสวยงามอยู่ที่การเคลื่อนไหวมือและเท้าตามจังหวะกลองรำมะนา
ที่มีจังหวะช้า - เร็ว สลับกัน
ผู้รำดาระส่วนใหญ่จะแต่งกายแบบพื้นเมือง คือผู้ชายสวมหมวกไม่มีปีก หรือบางทีก็สวมผ้าโพกศีรษะแบบเจ้าเมืองมลายูสมัยก่อน
สวมเสื้อคอตั้งแขนยาวผ่าครึ่งอก นุ่งกางเกงขายาวขากว้างคล้ายกางเกงจีน สีเดียวกับเสื้อ
แล้วใช้ผ้าโสร่งที่มีลวดลายสวยงาม ทับกางเกงและชายเสื้ออีกครั้งหนึ่ง โดยให้โสร่งยาวเหนือเข่า
ส่วนผู้หญิงสวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอก แบบเข้ารูปปิดสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทองเป็นระยะ
นุ่งผ้าปาเต๊ะยาวา ยางกรอมเท้าใช้ผ้าบาง ๆ คลุมไหล่เรียกว่าผ้าสไบ มีเครื่องประดับด้วยทองรูปพรรณชนิดต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม
เครื่องดนตรีที่ใช้มีเพียงอย่างเดียวคือกลองรำมะนา จะใช้กี่ใบก็ได้ แต่โดยทั่วไปนิยมใช้เพียง
๔ ใบ มีผู้ตีซึ่งเป็นนักร้องและลูกคู่ ๔ คน ทำนองเพลงสูง ๆ ต่ำ ๆ มีท่วงทำนองสั้น
ๆ ง่าย ๆ ร้องวนเวียนไปมากี่เที่ยวก็ได้ โดยแบ่งบทเพลงออกเป็นสองส่วน คือเนื้อเพลง
และสร้อยเพลง เนื้อเพลงมีภาษาอาหรับพื้นเมือง ภาษาฮินดี ภาษาชวา ภาษาชาวเกาะซีลีเบส
และภาษาไทย เนื้อหาของเพลงเริ่มตั้งแต่การกล่าวสรรเสริญพระเจ้า การคารวะผู้ชม
กล่าวถึงปรัชญาในการดำเนินชีวิต และกล่าวลา ตัวอย่างเนื้อเพลงที่ถอดออกเป็นภาษาไทย
เป็นดังนี้
เพลงที่ ๑ มีเนื้อความว่า ในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งนำทางและส่องสว่างแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์นั้นมีศาสดาเป็นผู้นำมาซึ่งสัจธรรม
เพลงที่ ๒ มีเนื้อความว่า คาระวะถึงท่านผู้เป็นเจ้าของถิ่นฐาน ผู้เป็นเจ้าของบ้าน
ที่ประตูถูกเปิดออกข้างหน้านี้ เราดั้นด้นมาถึงระยะทางที่แสนไกล จากดินแดนต่างถิ่นที่เรียกว่ามลายู
เรามิได้หมายความว่าจะเป็นผู้รู้เป็นครูหรือผู้สอนสั่ง และแน่นอนสิ่งที่ส่งสู่ท่านคือความสันติ
ทั้งยังหวังว่าไมตรีที่เสนอนี้คงไม่ถูกปฏิเสธ
เพลงที่ ๓ มีเนื้อความว่า คุณลักษณะแห่งความบริสุทธิ์ และสายสัมพันธ์ของการเป็นพี่น้องกัน
ได้มียอดหญิงผู้หนึ่งสืบทอดเจตนารมย์อันบริสุทธิ์อย่างเหนียวแน่น ผู้นั้นคือ
ฟาติมะ ธิดาของท่านศาสดา ผู้มีจุดยืนอย่างมั่นคง และถ่ายทอดแบบอย่างนั้น เพื่อให้สตรีเจริญรอยตาม
จนเรียกว่ากุลสตรี จงปฏิบัติแม้แบบอย่างนี้ผ่านมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
เพลงที่ ๔ มีเนื้อความว่า จงสังเกตการกระพือปีกของหมู่นก ที่บินข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
เพียงเพื่อแสวงหาปัจจัยยังชีพ อันเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงเผ่าพันธุ์ และมนุษย์ก็มิได้มีวิถึชีวิตที่แตกต่างจากมันเลย
เพลงที่ ๕ มีเนื้อความว่า พระเจ้าแห่งข้าผู้เป็นใหญ่เหนือสิ่งใด อภัยเถิดหากนำหลักฐานเหล่านี้มาอ้าง
ในทางที่ต้องย่างเท้าก้าวไป เพื่อค้นหาสัจธรรมจากพระองค์ผู้ประทานมา
เพลงที่ ๖ มีเนื้อความว่า โลกคือโลก ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวเองว่าเป็นความไพศาล
และเป็นสัจธรรมอันหยั่งรู้ได้ยาก หากมีความท้อคอยยอมแพ้แก่สิ่งนั้น แต่การอยู่อย่างผู้มีชัยนี้ยากยิ่ง
เพลงที่ ๗,๘ ถอดความไม่ได้
เพลงที่ ๙ เป็นเพลงอำลามีความว่า เหนือแผ่นดินดันอุดมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้
มีโชคลาภโปรยหว่านอยู่สุดพรรณา ข้าจำใจจากถิ่นนี้แล้ว และเดินทางกลับโดยอาศัยสายน้ำ
ด้วยความห่วงอาลัยในการจาก หากข้าสามารถในการถอดดวงใจ วางไว้เบื้องหน้าท่านได้
ข้าก็จะถอดไว้เพื่อเป็นพยานยืนยันในความมีเจตนาบริสุทธิ์นี้
ประเพณีลอยเรือของชาวเล
การลอยเรือเป็นประเพณีของชาวเล (ชาวน้ำ) ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่เกาะอาดัง
ในเขตอำเภอเมืองฯ ชาวเลเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมของมลายู ชาวเลได้อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย
เป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้ว ชาวเลมีนิสัยชอบอยู่เป็นอิสระ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับชนกลุ่มอื่น
ชอบรวมอยู่เป็นพวกเดียวกัน มีการอพยพเคลื่อนย้ายไปหากินไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง
มีแบบแผนประเพณีและภาษาของตนเอง เดิมเป็นชนที่ไม่มีศาสนา เชื่อในเรื่องผีสางวิญญาณ
ประเพณีลอยเรือของชาวเลในจังหวัดสตูล ทำที่หมู่เกาะหลีเป๊ะได้ทำกันมานานแล้ว
จุดมุ่งหมายในการทำพิธีลอยเรือก็คือ เพื่อการลอยบาป และเป็นการเสี่ยงทายในการประกอบอาชีพ
การลอยเรือจะทำปีละสองครั้ง โดยทำในเดือน ๖ และในเดือน ๑๒
ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ ของเดือน ๖ และเดือน ๑๒ ชาวเลจะหยุดงานทุกชนิด เพื่อเตรียมขนมและข้าวตอกดอกไม้ไหว้ทวด
และเตรียมปัดกวาดบริเวณ หลาทวด เมื่อเสร็จประมาณบ่ายสามโมง ชาวเลทั้งหมดจะไปพร้อมกัน
ณ บริเวณพิธีโดยไปยืนล้อมรอบ หลาทวด โดยมีพิธีกรประจำหมู่บ้านที่เรียกว่าโต๊ะหมอ
เป็นผู้ประกอบพิธี
พิธีจะเริ่มโดยบรรดาชาวเลทั้งหลาย จะนำข้าวตอกดอกไม้ และขนมไปวางบนหลาทวด
และจุดธูปเทียนอธิษฐาน เพื่อให้ดวงวิญญาณ ทวดมีความสุข และขอความเป็นสิริมงคลให้ตนเอง
จากนั้นทุกคนจะเสี่ยงเทียนคือ อธิษฐานขอให้เป็นเครื่องชี่บอกชะตาของตน และครอบครัว
พร้อมทั้งการประกอบอาชีพ เมื่ออธิษฐานจบแล้ว จะมีการเต้นลงปง ซึ่งเป็นการเต้นรำเป็นรูปวงกลมรอบ
ๆ บริเวณหลาทวด โดยมีเครื่องดนตรีประกอบคือ รำมะนา และไวโอลิน
ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ตั้งแต่เช้าตรู่ ชายฉกรรจ์ส่วนหนึ่งจะไปหาไม้ระกำ เพื่อเตรียมทำเรือเพื่อลอยใน
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ การเล่นสนุกสนานด้วยการร้องรำทำเพลง จะเริ่มขึ้นในตอนค่ำ กล่มหนึ่งจะเตรียมสถานที่ตกแต่งให้สวยงามบริเวณหน้าเกาะ
อีกกลุ่มหนึ่งแต่งตัวสวยงามด้วยผ้าหลากสี เพื่อรับขบวนเรือบรรทุกไม้ระกำ กลุ่มนี้จะลงเรือพร้อมกับพวกดนตรี
อีกกลุ่มหนึ่งหาไม้มาดเรือเพื่อเตรียมสร้างเรือจากไม้ระกำ ต้องหามมาดเรือวนรอบบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน
แล้วมาวางไว้ในบริเวณที่จะประกอบเรือ เพื่อรอขบวนเรือบรรทุกไม้ระกำต่อไป เมื่อขบวนเรือแห่ไม้ระกำมาถึง
ก็จะลำเลียงไม้ระกำขึ้นบก จัดขบวนแห่รอบบ้านหัวหน้า และนำไม้ระกำมาประกอบเรือจนเสร็จ
ประดับประดาให้เรียบร้อยเตรียมไว้ลอยในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พิธีจะเริ่มตั้งแต่ย่ำรุ่ง ชาวเลทั้งหมดจะทะยอยมายังชายหาด
บริเวณพิธีจะมีการลอยเรือ ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสี แล้วนำเอาขนม และข้าวตอกไปวางในเรือพร้อมกับตัดเล็บ
และตัดผมใส่ลงไปในเรือด้วย เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มจับขอบฟ้า
ทุกคนก็จะอธิษฐานแล้วหามเรือลุยลงไปในทะเล ให้ห่างจากฝั่งพอสมควร จากนั้นก็ปล่อยเรือลงทะเลไปเป็นอันเสร็จพิธีลอยเรือ
..............................
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |