| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์

การตั้งถิ่นฐาน

            จากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ และพบแหล่งชุมชนโบราณหลายแห่ง แสดงให้เห็นว่า ในบริเวณจังหวัดสุรินทร์ ได้มีผู้คนอาศัยนานมาแล้วตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
            นักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีลงความเห็นว่าบริเวณที่ราบลุ่มตอนกลางของแม่น้ำมูลด้านตะวันออก และชุมชนทุ่งสำริดในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สุรินทร์ และลุ่มแม่น้ำชีตอนล่าง ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ยโสธรและอุบล ฯ คือ แหล่งอารยธรรมโบราณ บรรพชนของชุมชนเหล่านี้ ได้ประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาเนื้อหยาบหนา ในยุคแรก ๆ ไม่มีลวดลายเขียนสีในยุคต่อมาได้พัฒนาเป็นการเขียนสี และชุบน้ำโคลนสีแดง นอกจากนี้ยังได้ค้นพบหลักฐานแสดงการเปลี่ยนแปลงทางคติชนวิทยาที่สำคัญของมนุษยชาติคือ ประเพณีฝังศพครั้งที่สอง โดยการบรรจุกระดูกของผู้ตาย ลงในภาชนะก่อนนำไปฝัง การฝังครั้งแรกจะนำร่างผู้ตาย ไปฝังในหลุมระยะหนึ่งแล้วจึงขุดขึ้นเพื่อทำพิธีฝังครั้งที่สอง
            ลักษณะสำคัญของชุมชนเหล่านี้อีกอย่างหนึ่งคือ โครงสร้างของชุมชนมักแบ่งออกเป็นสี่ส่วนคือ ส่วนที่อยู่อาศัยมักอยู่บนเนินดินที่ดอน พื้นที่โดยรอบเป็นที่ลุ่มสำหรับเป็นแหล่งทำกิน ด้านตะวันออกส่วนใหญ่เป็นศาสนสถาน ด้านตะวันตกเป็นป่าช้า การขยายตัวของชุมชนมักขยายไปทางทิศตะวันตก
            ชุมชนเหล่านี้มีการขยายตัวทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง จัดตั้งขยายเป็นชุมชนเมือง เป็นรัฐยุคต้นประวัติศาสตร์ได้หลอมรวมกันเป็นอาณาจักรเจนละ หรืออีสานปุระ มีหลักฐานแสดงความเจริญหลายอย่างเช่น การถลุงเหล็ก การทำเกลือ ปลูกข้าว การขุดคู กักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรและการป้องกันตัว
ลำดับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์

            เมืองสุรินทร์เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมานาน มีหลักฐานได้แก่ คูเมืองสามชั้นมีเนินดินเป็นกำแพง สันนิษฐานว่าเป็นเมืองหน้าด่านของขอม
            ก่อนสมัยอยุธยา  เขมรเป็นชนพื้นเมืองที่เพิ่งอพยพเข้ามาอยู่สมัยอาณาจักรขอมรุ่งเรือง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ เป็นต้นมา ภายหลังได้ผสมกลมกลืนกับชาวส่วย ที่เป็นคนพื้นเมืองเดิม และได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าพวกเขมรป่าดง (ข่า - เขมร) ส่วนลาวนั้นอพยพเข้ามาอยู่ในภาคอีสานของไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๒๕๗ - ๒๒๖๑
            สมัยอยุธยา  กัมพูชาได้ตกอยู่ในฐานะประเทศราชของอาณาจักรอยุธยา ในระหว่างปี พ.ศ.๒๑๐๓ ส่วนอาณาจักรลาวมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครเวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐา ฯ (พ.ศ.๒๐๙๑ - ๒๑๑๑) กษัตริย์ลาวได้สร้างนครเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของล้านช้าง
            ในปี พ.ศ.๒๒๕๗ อาณาจักรลาวแยกออกเป็นสามรัฐอิสระคือหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ เมืองจำปาศักดิ์ได้บังคับให้อัตบือ แสนปาง ส่งช้างป้อนกองทัพให้แก่จำปาศักดิ์ ทำให้ส่วยอัตบือ แสนปาง ทนไม่ได้จึงหนีข้ามลำน้ำโขง มาอาศัยกับพวกส่วยดั้งเดิมบริเวณป่าดงดิบแถบอีสานล่างคือ อุบล ฯ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และบางส่วนของนครราชสีมา มหาสารคาม
            ชาวส่วยหลายกลุ่มพากันอพยพหนีสงคราม ข้ามมาตั้งหลักแหล่งทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เมื่อปี พ.ศ.๒๒๖๐ แยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานและมีหัวหน้าปกครองตามที่ต่าง ๆ ที่เป็นจังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบันคือ
                กลุ่มที่ ๑  มาอยู่ที่บ้านเมืองที ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง ฯ มีหัวหน้าชื่อเชียงปุม
                กลุ่มที่ ๒  มาอยู่ที่บ้านคดหวาย หรือเมืองเตา ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอรัตนบุรี มีหัวหน้าชื่อเชียงสี
                กลุ่มที่ ๓  มาอยู่ที่บ้านเมืองลึง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอจอมพระ มีหัวหน้าชื่อเชียงวา
                กลุ่มที่ ๔  มาอยู่ที่บ้านปราขาสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ปัจจุบันคือ บ้านดอนใหญ่ อำเภอวังหิน มีหัวหน้าชื่อตกจะกะและเชียงขัน
                กลุ่มที่ ๕  มาอยู่ที่บ้านอัจจะปะนึง ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสังขะ มีหัวหน้าชื่อเชียงฆะ
                กลุ่มที่ ๖  มาอยู่ที่บ้านกุดปะไท ปัจจุบันคือบ้านขบพัด อำเภอศรีขรภูมิ มีหัวหน้าชื่อเชียงไชย
                ชาวส่วยเหล่านี้มีความชำนาญในการคล้องช้าง ทำการเกษตร หาของป่า แต่ละชุมชนมีการไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
                ในรัชสมัยสมเด็จพระสุริยาอมรินทร์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ช้างเผือกในเขตกรุงหนีออกมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่เขตพิมาย จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขุนนางสองพี่น้องกับไพร่พล ๓๐ คนออกติดตามช้างมาทางแขวงเมืองพิมาย ได้รับคำแนะนำให้ไปสืบถามพวกส่วย มอญ แซก โพนช้างอยู่ริมเขาดงใหญ่ เชิงเทือกเขาพนมดงรัก เมื่อติดตามมาตามลำน้ำมูลได้พบเชียงสีหัวหน้าบ้านกุดหวาย เชียงสีได้พาไปพบหัวหน้าหมู่บ้านอื่น ๆ เพื่อจะได้ช่วยกันติดตามช้างเผือกต่อไป และได้ทราบจากเวียงฆะว่าได้พบช้างเผือกเชือกหนึ่งมีเครื่องประดับที่งา พาบริวารที่เป็นช้างป่ามาเล่นน้ำที่หนองโซกหรือหนองบัวในเวลาบ่ายทุกวัน เมื่อพากันไปยังหนองโชกก็พบช้างเผือกเชือกนั้นและจับมาได้ บรรดาหัวหน้าหมู่บ้านช่วยควบคุมช้างเผือกมาส่งยังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้งบรรดาหัวหน้าชาวส่วยให้มีฐานันดรศักดิ์คือ ตากะจะเป็นหลวงปราบแก้วสุวรรณ เชียงขันเป็นหลวงปราบ เชียงฆะเป็นหลวงเพชร เชียงปุมเป็นหลวงสุรินทรภักดี เชียงลีเป็นหลวงศรีนครเตา เชียงไชยเป็นขุนไชยสุริยางค์ แล้วกลับไปปกครองคนในหมู่บ้านของตน โดยอยู่ในอำนาจของกรุงศรีอยุธยา ขึ้นตรงต่อเมืองพิมาย
                พ.ศ.๒๓๐๖ หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้ขอพระบรมราชานุญาตย้ายหมู่บ้านจากเมืองทีที่คับแคบไปตั้งที่บ้านคูประทายคือที่ตั้งเมืองสุรินทร์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่กว้างใหญ่ มีกำแพงค่ายคูล้อมถึงสองชั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ระหว่างที่อยู่บ้านเมืองที หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) ได้สร้างเจดีย์สามยอด สูง ๑๘ ศอก สร้างโบสถ์พร้อมพระปฎิมา หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ยังปรากฎอยู่ที่วัดเมืองทีมาถึงปัจจุบัน
            ต่อมาหัวหน้าหมู่บ้านทั้งห้าได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ กรุงศรีอยุธยา ได้นำสิ่งของไปถวายคือ ช้าง ม้า แกนสม ยางสน นอระมาด งาช้าง ปีกนก ขี้ผึ้ง เป็นการส่งส่วยตามราชประเพณี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จึงได้โปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้หัวหน้าหมู่บ้านสูงขึ้นคือ
                หลวงสุรินทรภักดี (เชียงปุม) เป็นพระสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางราว ยกบ้านคูประทายเป็นเมืองประทายสมันต์ ให้พระสุรินทร ฯ เป็นเจ้าเมือง
                หลวงเพชร (เชียงฆะ) เป็นพระสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ ยกบ้านอัจจะปะนึง หรือบ้านดงยางเป็นเมืองสังฆะ ให้พระสังฆะ ฯ เป็นเจ้าเมือง
                หลวงศรีนครเตา (เชียงวสี) เป็นพระนครเตา ยกบ้านกุดหวายเป็นเมืองรัตนบุรี ให้พระศรี ฯ เป็นเจ้าเมือง
                หลวงแก้วสุวรรณ (ตาจะกะ) เป็นไกรภักดีศรีนครลำดวน ยกบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมดาลำดวนเป็นเมืองขุขันธ์ ให้พระไกรภักดี ฯ เป็นเจ้าเมือง
            สมัยธนบุรี  ในปี พ.ศ.๒๓๑๘ พญาโพธิสาร จากนครจำปาศักดิ์ได้ยกทัพมากวาดต้อนครัวบ้านครัวเมือง เมืองสุวรรณภูมิ เมืองตักศิลา (อำเภอราษีไศล) และเมืองศรีนครเขต (ศรีสะเกษ) ทิ้งให้เป็นเมืองร้าง
            พ.ศ.๒๓๒๑ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯ โปปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพไปสมทบกำลังเกณฑ์เมืองขุขันธ์ เมืองสังขะบุรี และกองทัพชาวคูประทายสมันต์ ขึ้นไปตีเมืองจำปาศักดิ์ เมืองนครพนม บ้านหนองคาย และเวียงจันทน์
            พ.ศ.๒๓๒๔ ทางเขมรเกิดจลาจล มีผู้ฝักไฝ่ไปทางญวน ทางกรุงธนบุรีจึงยกทัพไปปราบปราม โดยเกณฑ์กำลังทางเมืองขุขันธ์ เมืองประทายสมันต์ (เมืองสุรินทร์) และเมืองสังขะไปช่วยปราบปราม เมืองประทายเพชร เมืองประทายมาศ เมืองรูวดำแรย์ เมืองกำปงสวาย และเมืองเสียมราฐ การปราบปรามยังไม่ราบคาบ เกิดความไม่สงบขึ้นในกรุงธนบุรี ต้องยกทัพกลับ
            ในสงครามครั้งนี้ได้มีพวกเขมรหลบหนีสงครามจากเมืองเสียมราฐ เมืองกำปงสวาย เมืองประทายเพชรและเมืองอื่น ๆ เข้ามาอยู่ในเมืองประทายสมันต์ และเมืองสังขะเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวเมืองคูประทาย ซึ่งเป็นส่วยจึงปะปนกับเขมร ทำให้วัฒนธรรมเขมรเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว
            เมื่อเสร็จศึกเมืองเวียงจันทน์ และเมืองเขมรแล้ว เจ้าเมืองประทายสมันต์ เมืองขุขันธ์ และเมืองสังฆะ ได้รับเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาทั้งสามเมือง
            สมัยรัตนโกสินทร์  ได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
                พ.ศ.๒๓๒๙  ให้เปลี่ยนชื่อเมืองประทายสมันต์ เป็นเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๓๓๗  พระยาสุรินทรภักดีศรีจางวาง (เชียงปุม)  เจ้าเมืองถึงแก่กรรม นายตี บุตรชายคนโตได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระสุรินทรณรงค์ภักดีศรีณรงค์จางวาง  เจ้าเมือง
                พ.ศ.๒๓๔๗  มีตราโปรดเกล้า ฯ ให้เกณฑ์กำลังเมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ และเมืองขุขันธ์ เมืองละ ๑๐๐ รวม ๓๐๐  เข้ากองทัพยกไปตีกองทัพพม่า ซึ่งยกมาอยู่ในเขตเมืองนครเชียงใหม่ เมื่อยกกองทัพกลับก็ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เปลี่ยนนาม พระสุรินทร ฯ (ตี)  เป็น พระสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์
                พ.ศ.๒๓๕๐  ทรงพระราชดำริว่า เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ และเมืองขุขันธ์ มีความชอบมาก จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ทั้งสามเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ฯ มีอำนาจชำระคดีได้เอง ไม่ต้องขึ้นกับเมืองพิมาย เหมือนแต่ก่อน
                พ.ศ.๒๓๕๑  พระสุรินทรภักดี ฯ (ตี)  เจ้าเมืองสุรินทรถึงแก่กรรม หลวงวิเศษราชา (มี)  ผู้เป็นน้องชายได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระสุรินทรภักดี ฯ เจ้าเมือง
                พ.ศ.๒๓๕๔  พระสุรินทรภักดี ฯ เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่กรรม นายสุ่น บุตรพระสุรินทรภักดี ฯ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระสุรินทรภักดี เจ้าเมือง
                ต่อมาเมืองขุขันธ์ ขออนุญาตยกบ้านลังเสน เป็นเมืองกันทรลักษ์  แล้วย้ายมาอยู่ที่บ้านลาวเดิม และยกบ้านแบบ เป็นเมืองอุทุมพรพิสัย  แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านปรือ
                พ.ศ.๒๓๖๙  เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ แต่งตั้งให้เจ้าอุปราช (สีถาน)  กับเจ้าราชวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ยกกองทัพเข้าตีหัวเมืองรายทางเข้ามาจนถึงเมืองนครราชสีมา ทางเมืองจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์ (โย่)  ก็เกณฑ์กำลังยกมาตีเมืองขุขันธ์แตก ส่วนเมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ ได้ป้องกันเมืองไว้ได้ และได้เกณฑ์กำลังไปสมทบกับกองทัพหลวงจนเสร็จสงคราม
                พ.ศ.๒๓๗๑  พระยาสุรินทรภักดี ฯ (สุ่น)  เจ้าเมืองสุรินทร์ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนเป็น เจ้าพระยา ส่วนเมืองสังขะ พระยาสังขะได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมือง และบุตรพระยาสังขะ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระยาสังขะบุรีนครอัจจะปะนึง
                พ.ศ.๒๓๘๕  เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์)  ได้เกณฑ์คนหัวเมืองเขมรป่าดง หัวเมืองขุขันธ์ ๒,๐๐๐ คน เมืองสุรินทร์ ๑,๐๐๐ คน เมืองสังขะ ๓๐๐ คน  เมืองศรีสะเกษ ๒,๐๐๐ คน เมืองเดชอุดม ๔๐๐ คน รวม ๖,๒๐๐ คน เกณฑ์กำลังขึ้นไปสมทบทัพกรุงเทพ ฯ ที่เมืองอุดรมีชัย ไปรบในกัมพูชา
                พ.ศ.๒๓๙๔  เจ้าพระยาสุรินทรภักดี ฯ (สุ่น)   เจ้าเมืองสุรินทร์ถึงแก่อนิจกรรม พระยาพิชัยราชวงศ์ (ม่วง)  ผู้ช่วยเจ้าเมืองผู้เป็นบุตร เจ้าพระยาสุรินทรภักดี ฯ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็น พระยาสุรินทรภักดี ฯ ผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๔๑๒  พระยาสังขะบุรี ฯ  ขอตั้งบ้านกุดไผท เป็นเมือง  ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเมืองศีขรภูมิพิไสย ขึ้นกับเมืองสังขะ และได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกบ้านลำดอนขึ้นไปเป็นเมืองสุรพินทนิคม ขึ้นกับเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๔๑๕ พระยาสังขะได้มีใบบอกขอตั้งบ้านลำพุกเป็นเมือง และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเมืองกันทรารมย์ ขึ้นกับเมืองสังขะ
                พ.ศ.๒๔๒๕ พระยาสุรินทร์ ฯ ได้มีใบบอกขอตั้งบ้านทัพค่ายเป็นเมือง และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเมืองชุมพลบุรี
                พ.ศ.๒๔๒๙ พระยามหาอำมาตย์ (หรุ่น) ข้าหลวงใหญ่เมืองจำปาศักดิ์ ได้สั่งให้พระยาสุรินทร์ภักดี ฯ ไปช่วยราชการที่เมืองอุบล อยู่ ๒ ปี เพราะเจ้าเมือง และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ต้องไปราชการทัพที่เมืองหนองคาย
                พ.ศ.๒๔๓๒ ข้าหลวงใหญ่เมืองนครจำปาศักดิ์ ได้แต่งตั้งใบประทวนให้นายเยียบ บุตรชายพระยาสุรินทร์ภักดี (ม่วง) เป็นพระยาสุรินทร์ภักดี ฯ รักษาราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ แต่อยู่ได้เพียง ๒ ปีก็ถึงแก่กรรม
                พ.ศ.๒๔๓๕ พระไชยณรงค์ภักดี (บุนมาก) น้องชายพระยาสุรินทร์ภักดี (ม่วง) ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุรินทร์
                พ.ศ.๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้ยกทัพขึ้นมาทางเมืองเชียงของ เมืองสีทันดรและเมืองสมโบก ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในราชอาณาจักรไทย ผู้สำเร็จราชการข้าหลวงใหญ่มณฑลอีสานได้เกณฑ์กำลังหัวเมืองสุรินทร์ เมืองศรีสะเกษ เมืองขุขันธ์ เมืองมหาสารคาม และเมืองร้อยเอ็ด เมืองละ ๘๐๐  เมืองสุวรรณภูมิและเมืองยโสธร เมืองละ ๕๐๐  เข้าตรึงการรุกรานของฝรั่งเศสทุกจุด
                ในปีเดียวกันนี้ พระไชยณรงค์ภักดี (บุนมาก) ถึงแก่กรรม ผู้สำเร็จราชการมณฑลอีสานได้แต่งตั้งหลวงสิทธิเดชสมุทรขันธ์(ล้อม) มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงกำกับราชการเมืองสุรินทร์แทน
                ต่อมาพระยาพิชัยนครบวรวุฒิ (จรัญ) ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นพระยาสุรินทรภักดี ฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.๒๔๓๘
                พ.ศ.๒๔๕๑ พระกรุงศรีบุรีรักษ์ (สุม  สุมานนท์) ได้รับแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดสุรินทร์คนแรก
เหตุการณ์สำคัญ

            รัฐบาลได้เปิดเดินรถไฟจากนครราชสีมาไปถึงจังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗  นับแต่นั้นมา สองข้างทางรถไฟได้กลายเป็นแหล่งชุมชน มีการขยายตัวออกเป็นหมู่บ้าน และเป็นเมืองในที่สุด คนในชุมชนเหล่านั้นมีความสะดวกในการเดินทาง และสามารถขนส่งผลิตภัณฑ์ของตนออกไปยังชุมชนอื่น  เกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนกับคนนอกชุมชน ทำให้เศรษฐกิจของจังหวัดเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีพ่อค้าชาวจีนเข้ามาตั้งยุ้งฉางรับซื้อสินค้าจากชาวพื้นเมือง เพื่อส่งไปยังนครราชสีมาทางรถไฟเป็นจำนวนมาก สินค้าสำคัญที่ส่งจากจังหวัดสุรินทร์ที่สำคัญได้แก่ ไม้พยุง ครั่ง ข้าว ไหมและสุกร เป็นต้น ส่วนโคกระบือนั้นไม่นิยมส่งทางรถไฟ
            จากการที่มีทางรถไฟผ่าน ทำให้จังหวัดสุรินทร์ สามารถติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับจังหวัดอื่นได้สะดวก ทำให้จังหวัดมีความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประชาชนหันมาประกอบอาชีพค้าขายมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างเห็นได้ชัดเจน
| ย้อนกลับ | บน | หน้าต่อไป |