| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
กริช
เป็นคำในภาษาชวา - มลายู ส่วนในภาษาถิ่นยะลาเรียกว่า กรือเระฮ์
กริชมีความเกียวข้องกับชาวชวาสมัยโบราณทีเชื่อในเทพเจ้า
ลักษณะของด้ามกริชมักจะทำเป็นรูปสัตว์ในเทพนิยายของชวา และไม่ขัดกับหลักทางศาสนาอิสลาม
กริช มีความเป็นมาอย่างไรไม่เป็นที่แน่ชัด แต่จากเรื่องราวในเทพนิยายและตำนาน
กริชจะเป็นอาวุธประจำตัว และสืบทอดให้แก่คนในตระกูลสืบไป ทั้งยังมีคุณค่าในเชิงศิลปวัตถุ
ที่เป็นมงคลและเป็นศักดิ์ศรีของผู้พกพา กริชของจังหวัดยะลามีชื่อและประวัติความเป็นมาที่ยาวนานคือ
- กริชเมืองรามัน
เป็นกริชตระกูลสำคัญในประวัติของกฤช และเป็นที่ขึ้นขื่อมานาน มีประวัติว่าเมื่อประมาณ
สามร้อยปีที่ผ่านมา เจ้าเมืองรามันประสงค์จะมีกริชไว้ประจำตัว และอาจเป็นกริชคู่บ้านคู่เมือง
หรือในบางคราวจะมีไว้ประทานแก่ขุนนางผู้จงรักภักดี หรือผู้ทำความดีแก่บ้านเมือง
หรือเป็นของขวัญแก่แขกบ้านแขกเมือง แต่กริชดี ๆ ในช่วงนั้นหายากมาก เจ้าเมืองรามันจึงได้ให้คนไปเชิญช่างฝีมือดี
และแก่กล้าด้วยอาคมจากชวา มาตั้งเป็นช่างประจำเมืองเรียกว่า ปาแนะซาระห์ ได้ทำกริชตามรูปแบบของตนเองจนเป็นที่รู้จัก
และได้เรียกชื่อกริชว่า กริชปาแนซาระห์ ต่อมาได้ถ่ายทอดการทำกริชแก่ลูกศิษย์เจ็ดคน
แต่ละคนได้ความรู้คนละแบบและเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย คือ กริชจือรีตอ กริชอาเนาะลัง
กริชสบูฆิส กริชแบคอสบูการ์ กริชปแดนซาระห์ กริชบาหลี กริชแดแบะ หรือกายีอาริส
แต่ละแบบมีความแตกต่างกันในรูปแบบและรายละเอียดของตัวกริช
- ส่วนสำคัญของกริช
ตัวกริชหรือเรียกว่าตากริช หรือใบกริช ส่วนนี้เป็นโลหะผสมที่มีส่วนผสมอย่างพิสดาร
ตามความเชื่อของช่างกริชหรือผู้สั่งทำกริช ตัวกริชมีลักษณะตรงโคนกว้าง ส่วนปลายเรียวแหลมมีคมทั้งสองด้าน
ตัวกริชมีโครงสร้างที่แตกกต่างกันอยู่สองแบบคือ ตัวกริชแบบใบปรือ
กับตัวกริชคด
ตัวกริชแบบใบปรือ เป็นรูปยาวตรง ส่วยปลายค่อย ๆ เรียวและบางจนบางที่สุด
ซึ่งอาจจะแหลมหรืออาจจะมนก็ได้ คล้าย ๆ กับรูปใบปรือ (พืชน้ำชนิดนึ่งมีใบยาวเรียว)
กริชใบปรือบางเล่ม จะมีร่องลึกยาวขนานไปกับคมกริช บางเล่มมีร่องลึกดังกล่าว
๒ - ๔ ร่องก็มี
ส่วนตัวกริชคดนั้นมีลักษณะคดไปคดมาและค่อย ๆ เรียวยาวลงคล้ายกับเปลวเพลิง
การทำกริชให้คดนั้นกล่าวกันว่ามีจุดประสงค์คือ เมื่อใช้แทงจะทำให้บาดแผลเปิดกว้างกว่า
และสามารถแทงผ่านกระดูกได้ด้วย
การทำตัวกริชในสมัยโบราณต้องเตรียมกระบอกเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ นิ้ว
ยาวประมาณ ๒๐ นิ้ว เอาชิ้นเหล็ก หรือโลหะหลาย ๆ ชนิดรวมทั้งเหล็กกล้า เหล็กเนื้ออ่อน
นำมาบรรจุลงในกระบอกเหล็กดังกล่าว ตีกระบอกเหล็กนั้นให้แบนพอเหมาะ แล้วนำมาตั้งบนเตาไฟหลอมให้เหล็กนั้นเหลวจนเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าเหล็กดังกล่าวหลอมไม่เข้ากันสนิท ให้นำชิ้นเหล็กเหล่านั้นมาแช่ลงในน้ำดินเหนียว
แล้วตั้งไฟหลอมใหม่จนกว่าเนื้อเหล็กจะเข้ากันสนิทดี จากนั้นจึงนำมาวางบนแท่น
และตีให้แบนเป็นรูปร่างกริชที่ต้องการซึ่งต้องใช้เวลามาก จากนั้นจึงนำมาฝนลับ
และตกแต่งให้เกิดรายละเอียดของลวดลาย ตามชนิดของกริชตามที่ต้องการ
การหลอม การตี การฝนและการลับจะเป็นไปด้วยความประณีตบรรจง การกำหนดสัดส่วนของโลหะที่ใช้ผสมกันต้องใช้ประสบการณ์สูง
หัวกริชหรือด้ามกริชสำหรับจับ นิยมทำเป็นรูปหัวคน หัวสัตว์ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ไม่ผิดหลักศาสนาอิสลาม
หัวกริชจะแกะจากวัสดุต่าง ๆ เช่น ไม้เนื้อแข็ง งาช้าง เขาสัตว์ หรือหล่อด้วยโลหะ
ปลอกสามกั่น เป็นส่วนที่ติดกับหัวกริช เพื่อให้หัวกริชยึดติดกันอย่างมั่นคงและไม่ให้หัวกริชแตกร้าวได้ง่าย
นิยมทำด้วยโลหะทองเหลือง เงินหรือทองคำ และมีการแกะสลักลวดลายที่ประณีต
ฝักกริช เป็นที่เก็บคมกริชเพื่อความสะดวกในการพกพา มักจะทำด้วยโลหะชนิดเดียวกับโลหะที่ทำปลอกสามกั่น
และแกะสลักด้วยความประณีตสวยงาม
กรงนกเขา
นกเขาชวาหรือนกเขาเล็ก มีสีเทาคล้ำ หางยาวประมาณ ๘ - ๙ นิ้ว เป็นนกที่ชาวไทยอิสลามในภาคใต้นิยมเลี้ยงไว้ดูเล่น
ฟังเสียงและเป็นสวัสดิมงคลแก่ตน และครอบครัว การเลี้ยงนกเขาจะใช้กรงซึ่งส่วนใหญ่จะขังกรงเดี่ยว
กรงที่นิยมใช้กันคือ กรงแกะดอก มีขนาดและรูปร่างไม่แตกต่างจากกรงธรรมดา ต่างกันที่ซี่กรงจะแกะเป็นรูปต่าง
ๆ โดยทั่วไปจะแกะเป็นรูปดอกไม้ชนิดต่าง ๆ
กรงนกเขาชวา แบ่งส่วนประกอบส่วนต่าง ๆ คือ
- ตัวกรง
ขนาดที่นิยมใช้ในปัจจุบันก้นกรงมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๔ นิ้ว สูงประมาณ
๑๖ - ๑๘ นิ้ว ตัวกรงจะมีส่วนประกอบคือ ซี่กรง
ต้องมีขนาดเล็ก และแข็งแรงดี ประตูปิดเปิดกรง
นิยมทำที่ก้นกรง ไม่นิยมทำข้างกรงเพราะจะทำให้เสียรูปทรง และขาดความสวยงาม
คอน สำหรับให้นกเกาะ มักจะแกะสลักเป็นลวดลายต่าง
ๆ อาจทำจากไม้ธรรมดาหรืองาช้างขนาดประมาณ ๕ - ๖ หุน สูงประมาณ ๓ นิ้ว ภาชนะใส่อาหารและน้ำ
- หัวกรงนก นิยมทำด้วยไม้ธรรมดาหรืองาช้าง
นำมากลึงให้สวยงาม ขอเกี่ยว
อาจทำด้วยเหล็กธรรมดาหรือทำด้วยทองเหลืองเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น รูปนกโบราณ
ตัวมังกร ผ้ารองมูลนกและเศษอาหาร
ทำเป็นรูปวงกลมห้อยไว้ภายนอกกรงนก ผ้าคลุมกรงนก
มีสองแบบคือ แบบมีสี่ชายเป็นการคลุมแบบถาวร นิยมใช้ผ้าแพรลายดอกสีสด ที่ปลายชายจะผูกห้อยลูกตุ้มแก้วสี
มีรูปแบบแตกต่างกัน อีกแบบหนึ่งเป็นการคลุมชั่วคราวเวลาเคลื่อนย้ายนก
เพื่อไม่ให้นกตกใจ มักใช้ผ้าที่มีลวดลายและสีสด
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |