| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์

            ลพบุรีเป็นเมืองโบราณเก่าแก่  และมีความสำคัญยิ่งเมืองหนึ่งในภาคกลางของไทย  ที่ตั้งปัจจุบันได้ตั้งทับซ้อนเมืองโบราณเดิม  จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ลพบุรีไม่เคยเป็นเมืองร้าง  กลุ่มชนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้  เป็นกลุ่มชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อายุประมาณ 4500-3500 ปีมาแล้ว  และได้พัฒนามาเป็นชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

            ได้พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 45,000 ปี ไม่ต่ำกว่า 40 แห่ง  กระจายอยู่เกือบทุกอำเภอ  แบ่งออกได้เป็น 2 เขตใหญ่ ๆ ตามสภาพภูมิประเทศได้แก่  เขตเขาวงพระจันทร์ และเขตพื้นที่ลอนลูกคลื่นระหว่าง อำเภอโคกสำโรงกับอำเภอตาคลี  เช่น แหล่งโบราณคดีที่ท่าแค  ศูนย์การทหารปืนใหญ่  โนนป่าหวาย  โนนหมากลาและซับจำปา เป็นต้น

สมัยก่อนประวัติศาสตร์ก่อนการใช้โลหะ

            มีอายุประมาณ 4500 ถึง 3500 ปีมาแล้วพบว่า มีการตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่ราบลุ่มริมทางน้ำใหญ่  และในพื้นที่ดอนใกล้ภูเขาบางตอนของภาคกลาง  ได้แก่แหล่งโบราณคดีที่บ้านท่าแค ห้วยใหญ่และโนนป่าหวาย เป็นต้น  มีการทำภาชนะดินเผาแบบต่าง ๆ  ส่วนเครื่องมือเครื่องใช้ยังคงใช้ขวานหินขัดอยู่  และมีการทำเครื่องประดับจากเปลือกหอยและหิน
 
 

สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ใช้โลหะ

        ระยะที่ 1     มีอายุระหว่าง 3,800 ปี 2,700 ปีมาแล้ว  พบที่แหล่งโบราณคดีที่บริเวณหุบเขาวงพระจันทร์  อ่างเก็บน้ำนิลกำแหง  อ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่  ได้พบหลักฐานการถลุงแร่ทองแดง  แม่พิมพ์สำหรับหล่อทองแดงเป็นจำนวนมาก  รูปแบบภาชนะดินเผา ยังคงเป็นแบบที่คล้ายกับแบบในสมัยแรก ๆ

        ระยะที่ 2     มีอายุระหว่าง 2,100-2,300 ปี มาแล้ว  ยังคงมีการผลิตทองแดงอย่างต่อเนื่อง และพบเครื่องประดับสำริด มีการติดต่อกับวัฒนธรรมดองชอน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคเหล็ก มีศูนย์กลางในประเทศเวียดนามในปัจจุบัน ได้พบลูกปัดหินกึ่งรัตนชาติ ในแหล่งโบราณคดีที่ศูนย์การทหารปืนใหญ่  แสดงว่าได้มีการติดต่อกับชุมชนในประเทศอินเดียแล้ว มีการใช้ภาชนะดินเผารูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นได้แก่  ภาชนะสีน้ำตาลเข้ม ด้านนอกขัดมันเป็นภาชนะประเภทหม้อ ไหก้นกลม  ชามก้นกลม
         ระยะที่ 3    มีอยู่ระหว่าง 2,300-1,500 ปีมาแล้ว  ชุมชนในระยะนี้เริ่มเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้น  บางแห่งเป็นชุมชนที่เกิดขึ้นใหม่  บางแห่งก็พัฒนาจากชุมชนเดิม  มักตั้งอยู่ใกล้ทางน้ำสายใหญ่ เช่น แหล่งโบราณคดีท่าแค ในระยะนี้มีการใช้เหล็ก ทำเครื่องมือเครื่องใช้กันแพร่หลาย  ได้พบเครื่องประดับทำจากแก้วและหินกึ่งรัตนชาติ  ซึ่งเป็นวัตถุที่มาจากอินเดีย  การเปลี่ยนแปลงของชุมชนทำให้โครงสร้างทางสังคม และวัฒนธรรมซับซ้อนขึ้น มีการรวมตัวเป็นบ้านเมืองสมัยประวัติศาสตร์
แรกเริ่มที่เรียกว่า ทวาราวดี  ตัวอย่างชุมชนที่กลายมาเป็นเมืองโบราณได้แก่  เมืองซับจำปา  เมืองดงมะรุมและตัวเมืองลพบุรี เป็นต้น
สมัยประวัติศาสตร์
            ชุมชนในยุคเริ่มในสมัยประวัติศาสตร์บางแห่ง  มีการดัดแปลงพื้นที่โดยการขุดคู และถมเป็นคันดินล้อมรอบชุมชน  ที่ปรากฎร่องรอยชัดเจนมี 4 เมือง คือ  เมืองเก่าลพบุรี  เมืองดงมะรุม  บ้านเมืองใหม่ไพศาลี และเมืองซับจำปา  มีการค้าขายกับอินเดียมากกว่าแหล่งอื่น  วัฒนธรรมอินเดียได้เข้ามาผสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น  รูปแบบวัฒนธรรมร่วมจากอินเดีย ปรากฎเด่นชัดในพุทธศตวรรษที่ 12-14 และได้เรียกช่วงเวลาดังกล่าวนี้ว่า สมัยทวาราวดี
            อาณาจักรทวาราวดี เชื่อกันว่าอยู่ที่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนครปฐม  เนื่องจากได้พบโบราณสถาน และโบราณวัตถุมีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 อยู่เป็นจำนวนมาก

สมัยทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-14)

            เมืองลพบุรีในยุคนี้รู้จักกันในชื่อว่า เมืองละโว้ หรือลวปุระ  ชื่อเมืองละโว้ปรากฎอยู่จนถึงสมัยอยุธยา ชื่อเมืองนี้ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า มาจากคำว่า ลัวะ หรือ ละว้า  ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยเป็นเจ้าของดินแดน ในบริเวณลุ่มน้ำแม่น้ำเจ้าพระยามาก่อน  แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงสันนิษฐานว่า น่าจะมาจากชื่อเมืองลวปุระ ที่อยู่ในอินเดียและอาจผันมาเป็นลพบุรี  ซึ่งหมายความว่า เป็นเมืองของพระลวะหรือพระลพ ผู้เป็นโอรสของพระราม
            เมืองลพบุรีมีความสำคัญที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  เรือสำเภาเดินทะเลที่เข้ามาตามแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถแล่นไปถึงแม่น้ำลพบุรีได้ ทำให้ลพบุรีเป็นเมืองท่าที่ค้าขายติดต่อต่างประเทศที่สำคัญในสมัยทวาราวดี เช่นเดียวกับเมืองเก่าอีกหลายเมืองในภาคกลาง นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนาอีกด้วย มีร่องรอยหลักฐานอันเนื่องจากพุทธศาสนาอยู่เป็นจำนวนมาก
            วัฒนธรรมทวาราวดีอาจกล่าวได้ว่า เป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากพุทธศาสนา โบราณสถานอันได้แก่  สถูป  เจดีย์ และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ สร้างด้วยอิฐและตกแต่งด้วยปูนปั้นหรือดินเผา เช่น ที่วัดนครโกษา  โบราณวัตถุได้แก่  เครื่องมือเครื่องใช้ที่สำคัญ คือ เหรียญ  ที่ส่วนใหญ่ทำด้วยเงินมีลายดุนเป็นรูปลักษณะต่าง ๆ ตามคตินิยมของอินเดีย ได้พบเป็นจำนวนมากที่เมืองพรหมทิน
             มีการใช้อักษรจารึกข้อความต่าง ๆ บนศิลา  ฐานพระพุทธรูป  ธรรมจักร และพระพิมพ์ดินเผา  บนพระพิมพ์ดินเผานิยมจารึกคาถา เย ธมฺมา.....  เพื่อประสงค์ในการสืบอายุพระพุทธศาสนา ตัวอักษรที่ใช้เป็นอักษรแบบอินเดียตอนใต้  สำหรับภาษามีทั้งภาษาบาลี  สันสกฤด และภาษามอญโบราณ เช่น จารึกบนเสาแปดเหลี่ยม พบที่ศาลพระกาฬ จารึกหลักที่ 18 จารึกบนฐานพระพุทธรูปยืน พบที่วัดศรีมหาธาตุ และจารึกบนเสาแปดเหลี่ยม พบที่เมืองซับจำปา

สมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 15-18)

            ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา  ลพบุรีกลายเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง และเป็นศูนย์กลางทางการค้าแทนที่เมืองนครชัยศรี และในช่วงเวลาดังกล่าว อิทธิพลของวัฒนธรรมขอม ได้เริ่มแพร่ขยายเข้ามาสู่ภาคกลาง บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำลพบุรี  ทำให้ศิลปกรรมที่เมืองลพบุรี มีรูปแบบคล้ายคลึงกับศิลปะขอมสมัยพระนครเป็นอันมาก ได้พบโบราณสถานและโบราณวัตถุ ที่ใกล้เคียงกับศิลปกรรมในวัฒนธรรมแบบขอมเป็นจำนวนมาก  ได้มีการนำชื่อลพบุรีมาใช้เป็นชื่อเรียกศิลปกรรมแบบขอม ที่พบในพื้นที่ภาคกลางและภาคอื่น ๆ ว่า สมัยลพบุรี เป็นวัฒนธรรมที่มีพื้นฐานศาสนาพราหมณ์-ฮินดู  จนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 18  พุทธศาสนาฝ่ายมหายานได้กลายเป็นศาสนาหลัก ได้พบศิลาจารึกขอมได้แก่ จารึกหลักที่ 19 และหลักที่ 20 พบที่ศาลพระกาฬและจารึกหลักที่ 21 พบที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง
            จารึกหลักที่ 116  ที่ปราสาทพระขรรค์ นครวัด  ได้กล่าวถึง การสร้างพระชัยพุทธมหานาถ ไปประดิษฐานไว้ในปราสาทหินต่าง ๆ ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  มีเมืองลโวทยปุระรวมอยู่ด้วย จากภาพสลักที่ระเบียงปราสาทนครวัด มีภาพทหารม้าจากแคว้นละโว้ นอกเหนือจากภาพกองทหารจากสยาม  หลักฐานที่เป็นโบราณวัตถุ ได้แก่  ปรางค์แขก  ปรางค์สามยอด  ศาลพระกาฬหรือศาลสูง และปรางค์นางผมหอม  บรรดาประติมากรรมที่เป็นรูปเคารพทางศาสนา เช่น พระโพธิสัตว์ และพระพุทธรูปปางนาคปรก ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ล้วนเป็นศิลปแบบเขมร
สมัยสุโขทัย (พุทธศตวรรษ ที่ 19)
            เมื่ออิทธิพลของเขมรเสื่อมลงไปจากดินแดนแถบนี้  เมืองลพบุรีก็ไม่ได้เป็นศูนย์กลางการค้าและความเจริญอีกต่อไป  ศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ได้ไปอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่เมืองอโยธยา ส่วนดินแดนทางเหนือได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น  โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสุโขทัย
            ศิลปกรรมเมืองลพบุรีในยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป  กลายเป็นการสร้างขึ้นเนื่องในพุทธศาสนาฝ่ายหินยาน  อันเป็นที่นับถือกันแพร่หลายในห้วงเวลานั้น  ได้พบหลักฐานการสร้างพระสถูปเจดีย์ ที่เป็นแบบอย่างพุทธศาสนา
ฝ่ายเถรวาทอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมและแปดเหลี่ยม มีองค์ระฆังอยู่ส่วนบน เช่น เจดีย์รายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  มีการเปลี่ยนแปลงศาสนสถาน จากฝ่ายมหายานเป็นฝ่ายเถรวาท  สร้างพระปรางค์เป็นแบบปรางค์ไทย เช่น ปรางค์ทรงมะเฟืองและปรางค์ทรงฝักข้าวโพด เป็นต้น และมีการสร้างพระพุทธรูปศิลปะอู่ทองอย่างแพร่หลาย

สมัยอยุธยา

            เมืองลพบุรีได้เป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยา ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ  เมื่อปี พ.ศ. 1893  พระเจ้าอู่ทอง ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระรามเมศวร ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ ไปครองเมืองลพบุรีซึ่งเป็นเมืองลูกหลวง  พระองค์ได้ทรงสร้างป้อมคูเมือง และกำแพงเมือง บูรณะซ่อมแซมวัดต่าง ๆ
            ในปี พ.ศ. 2091  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทำศึก กับพม่าทรงเห็นว่าเมืองลพบุรีกลายเป็นประโยชน์ต่อข้าศึก มากกว่าเป็นเมืองหน้าด่าน  จึงโปรดให้รื้อกำแพงป้อมปราการออกทั้งหมด
            ในปี พ.ศ. 2208  สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่ 2  และพระองค์ได้เสด็จไปประทับปีละประมาณ 9 เดือน  เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ลพบุรีก็ถูกลดความสำคัญลง เป็นเมืองในเขตราชธานีดังเดิม  และถูกทอดทิ้งจนเกือบกลายเป็นเมืองร้าง
สมัยกรุงธนบุรี
           ในปี พ.ศ. 2310  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  ได้โปรดเกล้า ฯ  ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกกองทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์  เมืองศรีสัตนาคนหุตและเมืองหลวงพระบาง  ได้กวาดต้อนผู้คนชาวเมืองเหล่านั้นลงมาด้วยเป็นจำนวนมาก  แล้วให้ไปตั้งถิ่นฐานตามเมืองต่าง ๆ รวมทั้งเมืองลพบุรีด้วย

สมัยรัตนโกสินทร์

            พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณะเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2  เมื่อสร้างพระราชวังขึ้นที่เมืองลพบุรีแล้ว จึงสถาปนาเป็นพระนารายณ์ราชนิเวศน์
            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2438 ได้ตั้งลพบุรีเป็นเมืองหนึ่งในมณฑลกรุงเก่า หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม  ได้พัฒนาเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองศูนย์กลางทางทหาร รวมทั้งการพัฒนาในด้านต่าง ๆ อีกมาก

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |