| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
โบราณสถาน
โบราณสถานสำคัญในจังหวัดนครปฐม ระยะแรก ๆ ได้แก่ โบราณสถานสมัยทวารวดี มีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๑ - ๑๖ มีดังนี้
วัดพระเมรุ
วัดพระเมรุ ตั้งอยู่ในเขตตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง ฯ เป็นวัดร้างมีซากเนินขนาดใหญ่อยู่กลางวัด
เนินโบราณสถานมีลักษณะทรงกลมสูงประมาณ ๑๐ เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๘๐
เมตร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๔ ได้พบพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ จึงได้นำมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ
วัดพระปฐมเจดีย์ ฯ เป็นพระพุทธรูปปางแสดงธรรม จัดเป็นพุทธศิลปแบบทวารวดี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานนามบริเวณวัดพระเมรุว่า
สวนนันทนอุทยาน
ในปี พ.ศ.๒๔๘๑ - ๒๔๘๒ ได้มีการขุดแต่งทางโบราณคดีที่วัดพระเมรุ พบว่าโบราณสถานวัดพระเมรุเป็นซากเจดีย์ขนาดใหญ่
ก่อด้วยอิฐ มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมมุม กว้าง - ยาว ด้านละประมาณ ๗๐ เมตร
มีองค์เจดีย์อยู่ตรงกลาง ฐานเจดีย์ทำเป็นเหลี่ยมย่อมุม มีทางขึ้นทั้งสี่ดาน
สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ ด้านละองค์ รวม ๔ องค์ ปรากฏซากหินสำหรับรองพระพุทธรูปเหลืออยู่ทางด้านทิศตะวันออก
และทิศเหนือ ระหว่างมุขทั้งสี่เป็นระเบียงคต มีร่องรอยว่า น่าจะมีมุขหลังคาโดยรอบ
ในการดำเนินงานทางโบราณคดีครั้งนี้ ได้พบโบราณวัตถุรวม ๖๕๑ ชิ้น เป็นประเภทสำริด
๒ ชิ้น ประเภทเครื่องปั้นดินเผา ๕๓๕ ชิ้น ประเภทศิลา ๒๖ ชิ้น พระพิมพ์ดินเผา
๘๘ องค์
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๗ - ๒๕๒๘ ได้มีการขุดแต่งบูรณะโบราณสถานวัดพระเมรุอีกครั้งหนึ่ง
ได้พบหน้ายักษ์ปูนปั้น และสถูปดินเผา ๑ องค์ ลักษณะเป็นชั้น ๆ ต่อกัน และพอกปูนรอบนอก
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการก่อสร้าง และบูรณะรวมสี่ครั้ง คือ
- ครั้งที่ ๑ เป็นสมัยแรกสร้างโบราณสถาน
- ครั้งที่ ๒ เป็นการสร้างเพื่อขยายฐานพระเจดีย์ ครั้งที่ ๑
- ครั้งที่ ๓ เป็นการก่อสร้างเพื่อขยายแนวฐานเจดีย์ ครั้งที่
๒
- ครั้งที่ ๔ เป็นการก่อสร้างเพื่อปิดแนวฐานที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมในครั้งที่
๑
ได้มีการกำหนดอายุโบราณสถานแห่งนี้ว่า อยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒ - ๑๖
เป็นศิลปแบบทวารวดี
โบราณสถานวัดพระเมรุขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘
พระประโทนเจดีย์วรวิหาร
พระประโทนเจดีย์ ฯ ตั้งอยู่ภายในวัดพระประโทนเจดีย์ ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นสามัญ
ชนิดวรวิหาร ในเขตตำบลพระประโทน อำเภอเมือง ฯ
พระประโทนเจดีย์ ฯ เป็นเนินโบราณสถานขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ ๕๐ เมตร
เส้นผ่าศูนย์กลางเนินประมาณ ๖๐ เมตร สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเจดีย์ที่มีอายุร่วมสมัยกับจุลประโทนเจดีย์
วัดพระเมรุ และพระปฐมเจดีย์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอาวาสวัดพระประโทนเจดีย
ฯ ได้ถวายพญาครุฑพ่าห์เหยียนาค ทำด้วยสำริด ที่ขุดพบบริเวณพระประโทนเจดีย์
ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้จัดประกอบเป็นธงสี่เหลี่ยมคือ
ธงกระบี่ครุฑธุชพ่าห์
ต่อมาพระประโทนเจดีย์ ฯ เกิดชำรุด ได้มีการปฏิสังขรณ์ สร้างบันไดขึ้นบนองค์พระเจดีย์
และสร้างบันไดในส่วนขึ้น ไปยังฐานพระปรางค์ที่อยู่บนยอดเจดีย์พระประโทนรวม
๓๗ ขั้น และทำบันไดขึ้นไปบนซุ้มทวารพระปรางค์อีก ๒๐ ขั้น และได้จำลอง เมื่อปี
พ.ศ.๒๕๐๔ องค์พระประโทนเจดีย์ชำรุดอีก ได้ทำการซ่อมโดยการเทปูนเป็นขั้น
ๆ เพื่อป้องกันการพังทลายขององค์เจดีย์ ส่วนฐานที่ก่ออิฐโดยรอบ สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อกันผนังพัง บนยอดเนินมีผู้สร้างปรางค์ซ้อนขึ้น ลักษณะปรางค์สูงชะลูดเป็นศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์
จากชายเนินมีบันไดขึ้นไปยังองค์ปรางค์ ซึ่งอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ ๒๐ เมตร
องค์พระประโทนเจดีย์ยังไม่มีการดำเนินงานทางโบราณคดี จากการศึกษาจากภาพถ่ายทางอากาศพบว่า
พระประโทนเจดีย์ตั้งอยู่กลางเมืองโบราณนครปฐม
พระประโทนเจดีย์ ฯ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘
เจดีย์จุลประโทน
เจดีย์จุลประโทน ตั้งอยู่ด้านทิศตะออกขององค์พระปฐมเจดีย์ ห่างออกไปประมาณ
๔ - ๕ กิโลเมตร บริเวณใกล้เคียงกับพระปฐมเจดีย์ บริเวณที่ตั้งของเจดีย์จุลประโทน
เดิมชาวบ้านเรียกว่า เนินหิน
เพราะในอดีตบริเวณดังกล่าวมรวากเนินอิฐ หิน กระจายอยู่ทั่วไป
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ - ๒๔๘๓ กรมศิลปากรร่วมกับสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ
ได้ดำเนินการขุดแต่งทางโบราณคดีที่โบราณสถานเจดีย์จุลประโทน ผลการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
เจดีย์จุลประโทนมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส วางตัวอยู่ในแนวแกน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
กับทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐ องค์เจดีย์มีการก่อสร้าง เป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปอีกสี่ชั้น
แต่ละด้านของแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปเช่นเดียวกับฐานชั้นแรกที่ขุดพบ
ครั้งที่ ๑ เป็นการก่อสร้างองค์เจดีย์
ซึ่งมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ฐานชั้นบนย่อมุม ยาวด้านละ ๑๗ เมตร แต่ละด้านประดับด้วยซุ้ม
พระพุทธรูปยืนปูนปั้น ด้านละ ๕ ซุ้ม ถัดลงมาเป็นฐานสี่เหลี่ยม ยาวด้านละ ๑๙
เมตร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส ยาวประมาณ ๒๔ เมตร สูงประมาณ ๑ เมตร กึ่งกลางของแต่ละด้านมีแนวบันไดเป็นรูปครึ่งวงกลม
มีราวบันไดยื่นออกมาจากปากสัตว์ สองข้างบันไดเป็นรูปสิงห์ประดับผนังของลานประทักษิณ
มีภาพปูนปั้น และดินเผาประดับ อายุก่อสร้างอยู่ประมาณพุทศตวรรษที่ ๑๒
เป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปอีกสี่ชั้น
แต่ละด้านของแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปเช่นเดียวกับฐานชั้นแรกที่ขุดพบ
ครั้งที่ ๒ เป็นการสร้างเสริมจากชั้นที่
๑ มีการเปลี่ยนแปลงฐานลานทักษิณได้ถูกยกขึ้นไปสูงกว่าระดับบันได การก่อสร้างครั้งนี้
เมื่อประมาณพุทศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ เป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปอีก
๔ ชั้น แต่ละด้านของแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปเช่นเดียวกับฐานชั้นแรกที่ขุดพบ
ครั้งที่ ๓ เป็นการสร้างลานประทักษิณใหม่
มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม ครอบลานประทักษิณ และบันไดทางขึ้นเดิมไว้
ลานประทักษิณที่สร้างใหม่มี ๒ ชั้น บนมุมทั้งสี่ของลานประทักษิณ ประดับด้วยเจดีย์ทรงกลมมุมละองค์
ไม่มีบันไดขึ้นลานประทักษิณ และเปลี่ยนแปลงพระพุทธรูปใหม่ซุ้มพระพุทธรูปยืนทั้ง
๕ องค์ เปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท ๓ องค์ และพระพุทธรูปปางนาคปรกอีก
๒ องค์ สร้างขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕
จากการขุดแต่งครั้งนี้ได้ข้อสันนิษฐานว่า รูปแบบองค์เจดีย์จุลประโทนว่า ส่วนบนของเจดีย์น่าจะมีลักษณะเช่นเดียวกับรัตนเจดีย์ที่วัดกู่กุด
จังหวัดลำพูนคือ เป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไปอีกสี่ชั้น แต่ละด้านของแต่ละชั้นประดิษฐานพระพุทธรูปเช่นเดียวกับฐานชั้นแรกที่ขุดพบ
ในปี พ.ศ..๒๕๑๑ ได้มีการขุดแต่งเจดีย์จุลประโทนอีกครั้ง ได้ขุดแต่งทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ทั้งหมดและบางส่วยของด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ และได้บูรณะด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
กับตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับการบูรณะครั้งที ๓ ออกทั้งหมด เพื่อเก็บภาพปูนปั้นที่ประดับอยู่รอบฐานเจดีย์
โดยลวดลายปูนปั้นทั้งหมด เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระปฐมเจดีย์
เจดีย์จุลประโทน ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๓
เนินพระ
(เนินยายหอม)
เนินพระ ที่ชาวบ้านเรียกว่า เนินยายหอม ตั้งอยู่ในเขตตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง
ฯ
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ ได้ขุดพบธรรมจักรศิลา เสาศิลาทรงแปดเหลี่ยม และกวางหมอบ
อยู่ในสภาพชำรุด ธรรมจักศิลา เมื่อนำมาประดับเข้าด้วยกันมีความสูงประมาณ ๑๙๐
เซนติเมตร กว้าง ๑๓๕ เซนติเมตร ส่วนเสาศิลาแปดเหลี่ยมสูง ๙ ศอก สำหรับกวางหมอบศิลาสลักจากหินสีเขียวเนื้อละเอียดสูง
๙.๕ นิ้ว ยาว ๑๒ นิ้ว ที่เนินพระที่มีความสูงประมาณ ๙ เมตร พบว่าเนินพระเป็นซากฐานขององค์เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส
มีมุมยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน โดยองค์เจดีย์ล้มไปทางด้านทิศตะวันออก มีรูปแบบศิลปกรรมแบบทวารวดี
นอกจากนั้นบริเวณวัด และพื้นที่ทั่วไปเคยพบพระพุทธรูปสมัยทวารวดี สมัยลพบุรี
และสมัยอยุธยาตอนต้นอีกด้วย
เนินพระได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐
วัดพระงาม
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |