| ย้อนกลับ |
| พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางพระพุทธศาสนา

วัดเขากง

            วัดเขากงเป็นวัเก่าแก่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๒๑ วัดนี้ต่อมาได้กลายเป็นวัดร้างอยู่ระยะหนึ่งจนถึงปี พ.ศ.๒๔๙๔ จึงได้มีพระภิกษุมาจำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง และกระทรวงศึกษาธิการได้ยกฐานะเป็นวัดที่มีพระสงฆ์  เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ ตั้งอยู่ในเขตตำบลลำภู อำเภอเมือง ฯ
            อุโบสถสร้างขึ้นตามแบบของกรมการศาสนา เป็นแบบทรงไทยสมัยใหม่ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จมาทรงตัดลูกนิมิต เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖
            พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล  โครงการก่อสร้างพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล และการปรับปรุงบริเวณเขากง ถือกำเนิดมาจากคำปรารภของคณะสงฆ์ กับทางจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดอื่น ๆ ทางภาคใต้ว่า ณ บริเวณเขากงแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ของพระพุทธศาสนามาแต่โบราณ ปรากฎหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบคือ บนเนินเขาที่ประดิษฐาน พระพุทธทักษิณมิ่งมงคล มีซากเจดีย์อยู่สามองค์ ปรักหักพังเหลืออยู่เพียงฐานเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ประกอบบัวคว่ำบัวหงาย จากเศษบัวและส่วนประกอบของเจดีย์ที่ขุดพบในบริเวณนี้ แสดงว่าฐานตอนบนขึ้นไปเป็นฐานย่อมุมไม้สิบสอง กับมีอิฐโค้งขนาดต่าง ๆ กัน ทำลดหลั่นขึ้นไปสู่เจดีย์ประธานตรงกลาง เมื่อประกอบส่วนต่าง ๆ ของเจดีย์เข้าที่แล้วจะเป็นเจดีย์แบบห้ายอด นอกจากนี้ยังพบเศียรพระพุทธรูป และเศียรพระโพธิสัตว์ฝ่ายมหายาน ภาพปั้นปูนและลวดลายรอบฐานเจดีย์อีกเป็นจำนวนมาก แสดงว่าเป็นเจดีย์ในฝ่ายมนตรยาน พระพุทธศาสนาที่สี่ตอนปลาย ระหว่างประมาณปี พ.ศ.๑๗๐๐ - ๑๘๐๐
            การสร้างพระพุทธรูปใหญ่บนยอดเนินเขาสูงสุดในบริเวณเขากง เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปประจำภาคใต้รวม ๑๔ จังหวัด ให้มีพระพุทธลักษณะตามอิทธิพล ของสกุลศิลปะอินเดียใต้โจฬะรุ่นหลัง ที่แผ่อิทธิพลมาในระยะเดียวกับสกุลศิลปะเสนา แห่งอินเดียเหนือ ตลอดพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย และตลอดไปจนสุดแหลมมลายู ในเขตประเทศมาเลเซียปัจจุบัน
            พระพุทธรูปสกุลนี้พบมากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกกันว่า พระพุทธรูปแบบนครศรีธรรมราช หรือเรียกกันแบบสามัญว่า พระพุทธรูปแบบขนมต้ม มีพุทธลักษณะพิเศษจากความบันดาลใจของศิลปินที่เน้นหนักให้พระวรกายล่ำสันทุกส่วน ผิดกับแบบอื่นๆ สังฆาฏิจัดกลีบแผ่กว้างเต็มพระอังสาเบื้องซ้าย และชายจีวรใต้พระเพลา ทำเป็นริ้วให้ความรู้สึกทางการตกแต่งสวยงามกว่าแบบอื่นอย่างเห็นได้ชัด พระพุทธรูปสกุลนี้ ชาวใต้นิยมสร้างกันระหว่างประมาณปี พ.ศ.๑๗๐๐ - ๑๘๐๐  มีปรากฏอยู่ตามซากเมืองเก่าต่าง ๆ ของภาคใต้
            พระพุทธทักษิณมิ่งมงคลเป็นพระพุทธปางปฐมเทศนา ก่อด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับด้วยโมเสคสีทอง หันพระพักตร์ไปทางด้านทิศตะวันออกสู่อ่าวไทย
วัดชลธาราสิงเห

            วัดชลธาราสิงเห บางคนเรียกว่าวัดเจ๊ะเห ตั้งอยู่ในเขตตำบลเจ๊ะเห อำเภอตากใบ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๓  เดิมชื่อวัดท่าพรุ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยท้องถิ่น ที่มีเอกลักษณ์มาช้านาน รูปแบบดังกล่าวได้กลายเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมท้องถิ่นในระยะหลัง ประกอบด้วยอาคารหลัก ๆ หลายหลัง ได้แก่ อุโบสถ หอระฆัง ศาลาวัด เจดีย์ กุฏิ
            อุโบสถ  ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ หลังคาเป็นอาคารไม้ทรงไทย ผนังก่ออิฐถิอปูนขนาดห้าห้อง รวมมุขด้านหน้าเป็นหกห้อง หลังคาทรงจั่วมีชั้นลดด้านหน้าและด้านหลังด้านละสองชั้น หลังคาปีกนก ประกอบด้วยช่อฟ้าใบระกา และหางหงส์  มีเสาฝังด้านในผนังด้านละสามด้าน รอบตัวอุโบสถมีเสารายรอบนอกรับเชิงชายปีกนก จำนวน ๒๒ ต้น  การก่อฝาผนังมีลักษณะรอม (งุ้ม) ปลาย  มีประตูเข้าด้านหน้าสามประตู ประตูด้านข้างสองประตู  หน้าต่างข้างด้านละสี่ช่อง บนประตูบนหน้าต่าง ปั้นกนก ลวดลายซุ้มทรงมงกุฎ เพดานมีขื่อรับความยาวของอุโบสถสองต้นขวางสามต้น

           กุฏิเจ้าอาวาส  ตั้งอยู่บริเวณกลางวัด เป็นกุฏิขนาดใหญ่ สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๓  เป็นอาคารไม้ หลังคาซ้อนกัน ๓ ชั้น มีมุขทรงไทยยื่นออกมาข้างหน้า พื้นไม้ยกสูงและลดเป็นชั้น ๆ  มีระเบียงด้านข้าง มีมุขด้านหน้าโล่งไม่มีหลังคา พื้นลาดซีเมนต์ มีประตูทางขึ้นด้านมุขทรงไทย มีซุ้มประตูทรงมงกุฎข้างละหนึ่งซุ้ม บริเวณด้านบนหน้าต่าง และฝาผนังกั้นห้องประดิษฐ์เป็นรูปทรงมงกุฎโดยรอบ เชิงชายด้านนอกประดับด้วยลายฉลุไม้ลวดลายต่าง ๆ

           จิตรกรรมฝาผนัง  เป็นจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถทั้งสามด้าน (ยกเว้นด้านหลังพระประธาน) ที่เสาและที่เพดาน มีอายุอยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
            ลักษณะจิตรกรรม เขียนด้วยสีฝุ่น เขียนสีตัดกันแรงกล้า สภาพยังสมบูรณ์ดี เป็นภาพพุทธประวัติ มีพื้นที่เขียนภาพประมาณ ๑๙๐ ตารางเมตร
            การลำดับภาพเริ่มจากมุมด้านทิศใต้มาทางทิศตะวันออก โดยแบ่งฝาผนังเป็นแนวตั้งสี่ช่องเสา ในแต่ละช่องเสาแบ่งออกเป็น ๓ ช่วงคือ ช่วงบน ช่วงกลางและช่วงล่าง นับว่าเป็นการแบ่งพื้นที่แปลกออกไปจากจิตรกรรมที่อื่น ๆ  ตอนบนสุดเป็นวิทยาธร ต่อเป็นเทพชุมนุมหนึ่งชั้นนั่งประนมหัตถ์ถือดอกไม้  ถัดลงมาเป็นช่องสี่เหลี่ยมซ้อนกันสองชั้น เป็นภาพพุทธประวัติเริ่มตั้งแต่ตอนลาพระนางยโสธรา และพระราหุล แล้วเรียงเรื่องลำดับโดยพิสดารจนถึงตอนประทับรอยพระพุทธบาท พื้นที่ระหว่างช่องหน้าต่าง เป็นพื้นที่ปูนร่างเสาแต่ละต้นเขียนลวดลายอย่างงดงามตลอดต้น ด้านหน้าพระประธานมีภาพพระพุทธเจ้าตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์ เป็นภาพขนาด
ใหญ่  ผนังด้านล่างเป็นพื้นที่ว่าง มีแต่ภาพมณฑปเหนือเศียรพระพุทธรูป เพดานเขียนลวดลายบนพื้นแดง

           พระพุทธไสยาสน์  สันนิษฐานว่า สร้างก่อนสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา เป็นพระปูนติดกระเบื้องทอง มีความยาวจากยอดพระเศียรถึงฝ่าพระพุทธบาท ยาวประมาณ ๘ เมตรเศษ
           หอพระนารายณ์  ตั้งอยู่ในวัดชลธาราสิงเห เป็นสิ่งก่อสร้างพื้นเมือง ก่ออิฐถือปูน โครงสร้างฐานเป็นสี่เหลี่ยม มีมุขทรงไทยยื่นออกมาด้านหน้า หลังคามุงกระเบื้องดินเผาซ้อนกัน ๔ ชั้น คล้ายยอดมงกุฎ ส่วนยอดหลังคาทำเป็นปล้องไฉน ประดับด้วยบัวกลุ่มจนถึงปลียอด
วัดราษฎร์สโมสร

            วัดราษฎร์สโมสรตั้งอยู่ในเขตอำเภอรือเสาะ มีพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ พระพุทธรูปองค์นี้ เคยเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดนราธิวาส ก่อนที่จะสร้างพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล
วัดพระพุทธ

            วัดพระพุทธตั้งอยู่ในเขตตำบลพร่อน อำเภอตากใบ
           ศาลาการเปรียญ  ตั้งอยู่กลางบริเวณวัด เป็นศาลาการเปรียญขนาดกลาง รูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างยาวด้านละ ๗.๕๐ เมตร โครงสร้างเป็นอาคารไม้ หลังคาแบบจตุรมุขย่อมุมไม้สิบสอง มีรูปครุฑประดับที่หน้ามุขทั้งสี่ด้าน พื้นส่วนหนึ่งเป็นพื้นไม้ยกสูงประมาณ ๑ เมตร ด้านหน้าเป็นพื้นซีเมนต์
           พระพุทธรูป  ชาวบ้านเรียกพ่อท่านพระพุทธ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่กุฏิหลังเก่าของวัด เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ สร้างด้วยไม้
ราชพฤกษ์ ขนาดหน้าตักกว้างประมาณสองฟุต ไม่ปรากฏว่าสร้างในสมัยใด เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของชาวพุทธ
ทั่วไป
           พระพุทธไสยาสน์  สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๕  เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ประดิษฐานอยู่ภายในบริเวณริมสระน้ำทางทิศตะวันตกใกล้กับเจดีย์ หันพระพักตร์ไปทางด้านทิศตะวันตก หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ องค์พระยาวประมาณ ๗ เมตรเศษ

| ย้อนกลับ | บน |