มรดกทางวัฒนธรรม
เมืองนนทบุรี มีทำเลที่ตั้งอยู่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญในสมัยโบราณ
ของบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ทางตอนเหนือจะออกสู่ทะเล และบรรดาหัวเมืองทางชายฝั่งทะเล
และที่มาจากต่างประเทศ จะผ่านขึ้นไปยังกรุงศรีอยุธยา และเมื่องต่าง
ๆ ที่อยู่เหนือขึ้นไป
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ก่อนที่จะไปตั้งกรุงศรีอยุธยา ก็ได้นำไพร่พลมาพำนักอยู่ในพื้นที่เมืองนนทบุรี
ที่บริเวณบางใหญ่และบางกรวย
เมื่อเกิดสงครามกับพม่าชาวกรุงศรีอยุธยามักจะหนีภัยสงครามมาอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองนนทบุรี
และเมื่อเตรียมกำลังไปทำสงคราม ก็ใช้เป็นพื้นที่ประชุมกำลังพล
ย่านบางใหญ่
- บางกรวย
เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่สำคัญในการติดต่อค้าขายกับหัวเมืองชายทะเล และต่างประเทศ
แบ่งออกได้เป็นสองชุมทางคือ
ชุมทางปากคลองบางใหญ่
เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม สามารถออกทะเลทางแม่น้ำท่าจีน
และติดต่อกับหัวเมืองตะวันตกได้ เช่น นครปฐม สมุทรสาคร
ราชบุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี จึงใช้เป็นที่ตั้งด่านขนอนเก็บภาษีสินค้า
ชุมทางคลองลัดวัดชลอ-คลองบางกอกน้อย
แยกจากคลองบางกรวยไปเชื่อมกับแม่น้ำอ้อมบางกอก (คลองบางกอกน้อย)
บ้านตลาดขวัญ
บ้านตลาดแก้ว
อยู่ทางด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นย่านชุมชนเดิมตั้งแต่ปี
๒๐๙๓ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์ บ้านตลาดขวัญในปัจจุบันคือ ตำบลบางกระสอ
อำเภอเมือง บ้านตลาดแก้วปัจจุบัน คือตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมือง ฯ
ย่านเกาะเกร็ด
เกาะเกร็ดเดิมเรียกว่าบ้านแหลม
เป็นแผ่นดินผืนเดียวกับฝั่งอำเภอปากเกร็ด เป็นที่ตั้งด่านตรวจเรือที่จะเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา
จะมีเรือรอรับการตรวจเป็นจำนวนมากจอดเรียงรายยาวไปถึงบ้านบางตลาด
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๖๕ ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา
จากบริเวณปากด่านถึงวัดปากอ่าว ปัจจุบันคือวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร
เรียกว่าคลองลัดเกาะเกร็ดน้อย คลองนี้ในเวลาต่อมาได้กลายเป็นแม่น้ำลัดเกร็ด
พื้นที่ที่ถูกแม่น้ำล้อมรอบจึงกลายเป็นเกาะเกร็ดไป
เกาะเกร็ดนี้มีชื่อทางราชการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ว่าเกาะศาลากุน
ผู้อยู่อาศัยเป็นชาวไทยรามัญ (มอญ)ร้อยละ ๔๓ ชาวไทยพื้นถิ่นร้อยละ ๔๒
และชาวไทยมุสลิมร้อยละ ๑๕ เกาะเกร็ดปัจจุบันมีฐานะเป็นตำบล
ศาลหลักเมืองเดิม
ตั้งอยู่ที่ปากคลองอ้อม ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมือง ฯ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ใกล้กับวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๒๐๘ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ศาลหลักเมืองใหม่ ตั้งอยู่หน้าศูนย์ราชการ ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง
สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒
เรือนไทย
เรือนไทยได้พัฒนาขึ้นมาจากบ้านเรือนของสังคมเกษตรกรรมเดิม ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูน้ำหลาก
บ้านเรือนทั่วไปมักปลูกอยู่ตามลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ เรือนไทยจึงนิยมปลูกยกพื้นบนเสาสูง
การตั้งถิ่นเสาเรือนของเรือนไทย มิได้ยกเสาตั้งตรงเป็นแนวดิ่งจากพื้นดิน
แต่จะตั้งเสาโดยวิธีเอนเสาเข้าหาข้างในของเรือน เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวเอนของเสาต้านทานกระแสลมแรง
และกระแสน้ำ ไม่ให้เรือนเซและพังได้ง่าย ประโยชน์จากการยกเสายังใช้ประโยชน์จากใต้ถุนเรือน
ในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ เก็บสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำเกษตรกรรม
นอกจากนั้น การยกเสาเรือนสูงยังเป็นการป้องกันการบุกรุกของผู้ไม่ประสงค์ดีในยามค่ำคืน
และในยามที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ได้อย่างดีอีกด้วย ดังเช่นคำประพันธ์ที่กล่าวไว้ในเรื่องสังข์ทองตอนเลือกคู่และหาเนื้อหาปลา
ถึงกระท่อมปลายนาที่ท้าวสามลให้ปลูกไว้ที่ปลายนา สำหรับให้เจ้าเงาะและนางรจนาอยู่
เมื่อเจ้าเงาะและนางรจนาออกจากกระท่อม เพื่อเดินทางเข้าเมืองก็จะจัดการ
"ปิดประตูเข็นบันไดแล้วไคลคลา" การที่ต้องใช้บันไดก็เพราะเสาเรือนสูง
เรือนไทยมีระบบการระบายอากาศได้ดีมาก เพราะอากาศในช่องหลังคา ซึ่งจะมีความร้อนมากกว่าส่วนอื่นของเรือนจะลอยขึ้นสูง
และจะระบายออกทางช่องห่างของวัสดุมุงหลังคา และช่องลม อากาศที่เย็นกว่าก็จะเข้ามาแทนที่
ทำให้อากาศมีการถ่ายเท และจะไม่ร้อนอบอ้าวภายในบ้านอย่างที่เป็นอยู่ในบ้านแบบชาวตะวันตก
เรือนไทยตามภาคต่าง ๆ มีรูปทรง และรายละเอียดอื่น ๆ แตกต่างกันออกไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์
ในจังหวัดนนทบุรี จะมีเรือนไทยภาคกลางตั้งอยู่ตามริมฝั่งคลองบางกอกน้อย
และคลองอ้อมอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเรือนฝากระดานแบบฝาปะกน
คือนำไม้กระดานมาเพลาะเข้าด้วยกันโดยไม่ใช้ตะปู ส่วนหลังคาจะมีทรงแหลมสูง
มุงด้วยกระเบื้องดินเผา
เรือนมอญ
เป็นคติของมอญในการปลูกเรือน เรือนมอญตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จะปลูกขวางแม่น้ำหันหน้าบ้านไปทางทิศเหนือ
มีบันไดลงทางทิศเหนือ ส่วนมากมอญจะนอนหันศีรษะไปทางทิศใต้ การปลูกเรือนของชาวมอญ
จะสงวนพื้นที่ไว้ให้ลูกหลาน คือจะปลูกเรือนสุดเขตพื้นที่ไปทางทิศเหนือ
และสุดเขตทางทิศใต้ เว้นพื้นที่ตอนกลางไว้ให้ลูกหลาน เป็นการป้องกันผู้อื่นไม่ให้รุกล้ำพื้นที่
การปลูกเรือนของมอญที่มีลักษณะขวางแม่น้ำดังกล่าว ฝ่ายไทยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าขบขัน
จนมีสำนวนพูดว่ามอญขวาง
ดังเช่นคำประพันธ์ที่กล่าวไว้ในนิราศพระประธมว่า
ถึงบางขวางลางก่อนว่ามอญขวาง
เดี๋ยวนี้นางไทยลาวสาวสลอน
ทำยกย่างขวางแขนแสนแง่งอน
ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย
ดังนั้นเรือนมอญซึ่งปลูกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แทนที่จะหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งไหลจากทิศเหนือลงทิศใต้ ซึ่งก็จะทำให้เรือนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
หรือทิศตะวันตก แล้วแต่ว่าเรือนนั้นปลูกอยู่ฝั่งใดของแม่น้ำ แต่เรือนมอญหันหน้าไปทางทิศเหนือ
เมื่อมองจากการสัญจรทางเรือ ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาล่อง จะเห็นเรือนมอญตั้งอยู่ในลักษณะหันข้างให้แม่น้ำหรือเรียกว่าขวางแม่น้ำ
ประชากร
ภาษาและวรรณกรรม
ชาวไทยเชื้อสายมอญหรือไทยรามัญ
เป็นประชากรที่มีมากเป็นอันดับสามของจังหวัดนนทบุรี แต่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุด
ชาวไทยรามัญอพยพเข้ามาในดินแดนไทยหลายครั้ง ตั้งแต่สมัยอยุธยา กรุงธนบุรี
และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นชาวมอญจากเมืองเมาะตะมะ
ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เขตแดนไทย นอกจากนั้นก็เป็นชาวมอญจากหัวเมืองมอญต่าง
ๆ เส้นทางชาวมอญอพยพเข้ามามีอยู่สามเส้นทางด้วยกัน ได้แก่ เส้นทางที่เข้ามาทางเมืองตาก
ทางด่านแม่ละเมา เส้นทางที่เข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี ทางด่านเจดีย์สามองค์
และเส้นทางที่เข้ามาทางเมืองอุทัยธานี ส่วนใหญ่จะตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ตั้งแต่บ้านตะนาวศรี จนถึงบ้านเกาะเกร็ด
ชาวไทยรามัญนับถือพุทธศาสนา และประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มีความขยันอดทน
ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของตน มีฝีมือในทางช่างศิลปหัตถกรรมโดยเฉพาะเครื่องปั้นดินเผา
ภาษาไทยรามัญ มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาพูดจะใช้ในหมู่พวกไทยรามัญด้วยกันเอง
ส่วนภาษาเขียนจะมีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกภาษามอญ ที่วัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร
ตำบลเกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด
ชาวไทยตะนาวศรี
เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญอีกกลุ่มหนึ่ง ที่อพยพเข้ามาในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
และสมัยกรุงธนบุรี โดยเข้ามาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านตะนาวศรี
ระหว่างวัดเขมาภิรตารามกับวัดนครอินทร์ ในพื้นที่อำเภอเมือง ฯ มีฝีมือในทางช่างศิลปหัตถกรรม
โดยเฉพาะการปั้นหม้อคนนท์ ที่มีลายวิจิตรงดงาม
สำหรับภาษาก็คงเป็นภาษารามัญ ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เช่นเดียวกับไทยรามัญดังกล่าวมาแล้ว
ชาวไทยมุสลิม
เป็นประชากรที่มีจำนวนมากเป็นอันดับสี่ของประชากรในจังหวัดนนทบุรี ชาวไทยมุสลิมอพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ชาวไทยมุสลิมจากเมืองปัตตานี
และเมืองไทรบุรีมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในท้องที่ อำเภอปากเกร็ด
ชาวไทยมุสลิมใช้ภาษาอาหรับในการติดต่อสื่อสาร และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
วรรณกรรม
และตำนาน
ตำนานเรื่องไกรทอง ไกรทองผู้ปราบจรเข้ชาละวันแห่งเมืองพิจิตรนั้น
มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า บ้านอยู่ริมคลองในพื้นที่อำเภอบางกรวย
เมื่อสามารถปราบจรเข้ชาละวันได้แล้ว ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและนิยมนับถือกันอย่างกว้างขวาง
จึงได้มีการนำชื่อมาตั้งเป็นชื่อสถานที่ต่าง ๆ เช่น คลองบางไกร
วัดบางไกรใน วัดบางไกรนอก ที่บริเวณหน้าวัดบางไกรใน มีศาลของไกรทองอยู่ด้วย
ตำนานเจ้าพ่อเกษแก้วไชยฤทธิ์
อีกชื่อหนึ่งคือเจ้าพ่อหนุ่ม ตามตำนานกล่าวว่า เจ้าพ่อเป็นคนโสด
ชาวไทยเชื้อสายมอญนับถือว่าเป็นเจ้าพ่อชั้นผู้ใหญ่ เดิมมีศาลอยู่ที่เมือง
เมาะตะมะ เมื่อชาวไทยเชื้อสายมอญอพยพมาอยู่ในประเทศไทย ก็ได้สร้างศาลให้ท่านที่ตำบลเกาะเกร็ด
เจ้าพ่อองค์นี้เป็นที่พึ่งทางใจของชาวไทยเชื้อสายมอญ หลังเทศกาลสงกรานต์จะมีการรำถวายเจ้าพ่อเป็นประจำ
ตำนานเกี่ยวกับหงส์
ชาวมอญมีความผูกพันกับหงส์มาก ถือว่าหงส์เป็นสัญลักษณ์ของคนมอญ
จากตำนานการตั้งกรุงหงสาวดี ในพงศาวดารพม่ากล่าวว่า พื้นที่บริเวณที่ตั้งเมืองหงสาวดีนั้น
เดิมเป็นทะเล เมื่อน้ำลดจะมองเห็นภูเขาสูง เมื่อมองแต่ไกลดูคล้ายเจดีย์
เมื่อน้ำขึ้นก็ยังเห็นภูเขาโผล่พ้นน้ำอยู่ ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังที่ตั้งเมืองหงสาวดี
พระพุทธองค์ได้ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทอดพระเนตรเห็นหงส์ทองสองตัว
กำลังเล่นน้ำอยู่ จึงได้มีพุทธทำนายว่า ในภายภาคหน้า บริเวณที่หงส์ทองเล่นน้ำจะเป็นมหานคร
ชื่อว่าหงสาวดี ในเวลาต่อมาได้มีเจ้าชายองค์หนึ่งมาสร้างเมืองในพื้นที่ดังกล่าว
ชาวมอญจึงใช้รูปหงส์เป็นสัญลักษณ์ โดยมักสร้างรูปหงส์ไว้บนยอดเสาประจำที่วัด
เพื่อระลึกถึงความเป็นชาติ และ เพื่อเป็นเครื่องเชิดชู เพราะถือว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ตำนานการแห่ปลา ปล่อยปลา
ตามตำนานกล่าวว่า มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ได้ตรวจดูดวงชะตาของสามเณรผู้เป็นศิษย์
พบว่าชะตาขาด ด้วยความเมตตา จึงบอกให้กลับไปเยี่ยมโยมพ่อและโยมแม่ที่บ้าน
หวังจะให้ไปลาก่อนหมดอายุขัย ระหว่างทางที่สามเณรเดินทางกลับบ้าน ได้พบปลาติดโคลนตัวแห้งใกล้ตาย
จึงช่วยนำปลานั้นมาปล่อยที่หนองน้ำใกล้บ้าน เมื่อถึงบ้านแล้ว
เดินทางไปอาบน้ำ เกิดง่วงนอนจึงนั่งพักใต้ต้นไม้ โดยเอาขันครอบศีรษะไว้แล้วหลับไป
มีงูตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้ ห้อยหัวลงมาฉกสามเณร แต่โดนขันจึงไม่ได้รับอันตราย
เมื่อกลับไปวัด พระอาจารย์เห็นสามเณรกลับมาก็แปลกใจจึงถามความ สามเณรก็เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด
พระอาจารย์เห็นว่าคงจะเป็นเพราะการปล่อยปลาจึงช่วยต่ออายุให้สามเณร
นับแต่นั้นมาชาวมอญจึงนิยมแห่ปลา และปล่อยปลาในเทศกาลสงกรานต์