มรดกทางพระพุทธศาสนา
มรดกทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดราชบุรีมีอยู่มาก และหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่สมัยทวาราวดี
อันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน
วัดโขลงสุวรรณคีรี
วัดโขลงสุวรรณคีรี ตั้งอยู่กลางเมืองโบราณคูบัว มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
วางตามแนวเหนือ - ใต้ กว้างประมาณ ๒๒ เมตร ยาวประมาณ ๔๔ เมตร สูงประมาณ ๖
เมตร เครื่องบนชำรุดหักพังสูญหายไปหมดแล้ว แต่รูปทรง และลักษณะของตัวสถาปัตยกรรม
ที่มีบันไดขึ้นทางด้านหน้า ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกนั้น เปรียบเทียบได้กับสถูปหมายเลข
๕ ที่เมืองนาลันทาในอินเดีย ที่มีเครื่องบนเป็นเจดีย์ทรงกลมขนาดใหญ่ที่กึ่งกลาง
โดยมีเจดีย์ทรงกลมขนาดเล็กเป็นบริวารที่มุมทั้งสี่
วัดโขลงสุวรรณคีรี มีลักษณะเป็นศิลปะทวาราวดี มีอายุอยู่ประมาณช่วงกลางวิวัฒนาการ
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ.
๒๕๐๕ ได้พบโบราณวัตถุเนื่องในพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองราชบุรี ในเขตตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง ฯ
จากหลักฐานทางโบราณคดีสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยวัฒนธรรมทวาราวดี ประมาณพุทธศตวรรษที่
๑๓ ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ วัฒนธรรมขอมได้แพร่เข้ามาสู่ดินแดนราชบุรี
จึงได้มีการก่อสร้าง และดัดแปลงศาสนสถานแห่งนี้ขึ้นเป็น พระปรางค์ และสร้างกำแพงศิลาล้อมรอบ
ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนต้น ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๐ - ๒๑ ได้มีการก่อสร้าง พระปรางค์
แบบอยุธยาขึ้นซ้อนทับ และสร้างพระปรางค์บริวารขึ้นอีก ๓ องค์ บนฐานเดียวกัน
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายเมืองราชบุรี
จากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำแม่กลอง วัดมหาธาตุจึงกลายเป็นวัดร้าง
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. ๒๓๘๓ พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ
พระบุญมาได้ธุดงค์มาเห็นวัดนี้มีสถานที่ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม จึงได้ร่วมกับชาวบ้านช่วยกันซ่อมแซมเสนาสนะต่าง
ๆ จนในที่สุดวัดมหาธาตุ ก็กลับมาเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาเช่นเดิม และต่อมาเนื่องมาถึงปัจจุบัน
พระปรางค์ประธาน
เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และได้รับการซ่อมแซมเพิ่มเติม
ในสมัยอยุธยาตอนต้น ตรงส่วนที่เป็นซุ้มด้านตะวันออก และภาพจิตรกรรมภายใน ประกอบด้วยพระปรางค์ประธาน
และพระปรางค์บริวาร ๓ องค์บนฐานเดียวกัน มีการตกแต่งองค์พระปรางค์ทั้งหมดด้วยลวดลายปูนปั้นอย่างงดงาม
ด้านตะวันออกของพระปรางค์มีบันไดทางขึ้น และมีมุขยื่น ภายในคูหาเชื่อมต่อกับพระปรางค์
ผนังภายในองค์พระปรางค์ทุกด้านมีภาพจิตรกรรมรูปอดีตพระพุทธเจ้า
พระวิหารหลวง อยู่ด้านหน้าพระปรางค์ ภายนอกระเบียงคด เป็นซากอาคารในแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ฐานล่างสุดก่อด้วยศิลาแลง ด้านหน้ามุขยื่น บนพระวิหารเคยมีเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่แต่หักพังหมดแล้ว
บนฐานพระวิหารมีอาคารไม้โล่งสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ ภายในอาคารพระวิหารมีพระพุทธรูปปูนปั้นแกนหินทรายขนาดใหญ่
ปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่สององค์ ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกัน เป็นพุทธศิลปแบบอยุธยาตอนต้น
ด้านข้างทั้งสอง และด้านหน้าพระวิหาร ที่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้
มีวิหารขนาดเล็กภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายแดงปางมารวิชัย ประทับนั่งหันพระปฤษฎางค์ชนกัน
คล้ายกับที่ในพระวิหารหลวง
กำแพงแก้ว ก่อด้วยศิลาแลงรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบองค์พระปรางค์ไว้ทั้งสี่ด้าน
เหนือกำแพงมีใบเสมาทำด้วยหินทรายสีชมพู จำหลักพระพุทธรูปปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้ว
ลักษณะพุทธศิลปะขอมแบบบายน (ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘) ได้ขุดพบฐานปรางค์ศิลาแลงย่อมุมขนาดย่อม
และพบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมส่วนยอดของพระปรางค์ สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นคราวเดียวกับกำแพงแก้ว
ราวบันไดรูปครุฑยุดนาค พบจำนวน ๒ ชิ้น จำหลักจากหินทรายสีแดง ตั้งอยู่ที่ทางเข้าภายในระเบียงคดด้านทิศตะวันออก
อยู่ในสภาพชำรุดลบเลือน เป็นศิลปะขอมแบบบายน ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘
พระอุโบสถ จากหลักฐานทางสถาปัตยกรรมสันนิษฐานว่า สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ประมาณพุทธศตวรรษที่
๒๒ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคาลด ๒ ชั้น ๓ ตับ เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง
ด้านหน้าและหลังทำพาไลยื่นมารองรับโครงหลังคาด้วยเสาปูน ๓ ต้น ด้านข้างมีชายคาปีกนกโดยรอบ
ฐานอาคารมีศิลปะแบบอยุธยาตอนปลาย คือแอ่นโค้งคล้ายเรือสำเภา หรือที่เรียกว่าแอ่นท้องช้าง
ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นปูนประดับกระจกเป็นซุ้มหน้านาง ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ประทับนั่งบนดอกบัว ด้านนอกโดยรอบมีกำแพงแก้วก่ออิฐถือปูนล้อมรอบ
พระมณฑป ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระปรางค์ประธานภายนอกกำแพงแก้ว ก่ออิฐถือปูน ในผังสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้ยี่สิบบนฐานเขียงรองรับฐานสิงห์
ผนังรอบด้านมีซุ้มหน้าต่างทรงมณฑปด้านละ ๑ ซุ้ม เว้นด้านตะวันออกเป็นซุ้มประตูทางเข้ามีบันไดขึ้นลง
หลังคาพระมณฑปหักพังหมด ภายในพระมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ทำด้วยหินทรายสีแดง
ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมเรื่องพระพุทธประวัติตอนเสด็จโปรด
พระพุทธมารดาบนดาวดึงส์ และตอนผจญกองทัพพญามาร พระมณฑปหลังนี้ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
พระเจดีย์ เป็นเจดีย์เรียงรายเป็นแถวอยู่ด้านหน้าพระมณฑป
จำนวน ๕ องค์ เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังกลมจำนวน ๔ องค์ และพระเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองอีก
๑ องค์ เป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์
วัดมหาธาตุได้รับการประกาศเป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ และได้รับการวางแนวเขตโบราณสถาน
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๖
เจดีย์หักเจติยาราม
อยู่ในเขตตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง ยอดเจดีย์องค์นี้หักทลายลงตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๔๘๐ องค์พระเจดีย์ก่อด้วยอิฐสอด้วยดินผสมยางไม้ ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยมรองรับองค์ระฆังทรงกลมรูปสูงเพรียวคล้ายกับกลุ่มเจดีย์แบบเมืองสรรคบุรี
จังหวัดชัยนาท และในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี รวมทั้งเจดีย์ที่เรียกว่าแบบอโยธยา
ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาในปี
พ.ศ. ๑๘๙๓
จากการขุดแต่งและบูรณะ ได้พบร่องรอยของวิหารที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก และพบชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายสีแดงจำนวนมาก
เป็นพุทธศิลปะแบบที่นิยมสร้างในสมัยก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน
เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองวัดเพลง
(ร้าง)
วัดเพลงอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ที่บ้านท่าแจ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง ฯ เดิมเรียกวัดเพรง
หมายถึงวัดเก่าแก่ นอกจากนั้นยังมีผู้สันนิษฐานว่า ชื่อวัดโพธิเขียว อีกชื่อหนึ่ง
จากการขุดค้นพบว่าเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ชำรุดยอดหักเหลือเพียงชั้นบัลลังก์
องค์เจดีย์แตกร้าวมีรอยถูกขุดเจาะหลายแห่ง โบราณวัตถุที่พบได้แก่ แผ่นหินทรายแดงจำหลักพระพุทธรูปปางสมาธิ
ในซุ้มเรือนแก้วทั้งสองด้าน ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปบนกำแพงวัดมหาธาตุ แผ่นหินทรายแดงดังกล่าวตั้งอยู่บนก่อนแลงสี่เหลี่ยมขนาด
๓๘ เซนติเมตร ยาว ๔๕ เซนติเมตร หนา ๒ เซนติเมตร มีรอยยาปูนผนึกไว้ เมื่อเซาะเปิดก้อนแลงออก
พบว่ากลางก้อนแลงทำเป็นหลุมบรรจุผอบทองคำ ภายในผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขนาดเมล็ดพันธุ์ผักกาด
๓ องค์ และยังพบโบราณวัตถุอื่น ๆ อีก เช่น ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายแดง เศษภาชนะดินเผา
ฯลฯ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์วัดเพลง (ร้าง) เป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ
และกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘
วิหารแกลบวัดเขาเหลือ
วัดเขาเหลืออยู่ในเขตตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง ฯ เป็นอาคารขนาดสามห้อง ก่ออิฐถือปูน
หลังคาทรงจั่วลาดลงเล็กน้อย ด้านหน้าและด้านหลังมีมุข ส่วนกลางของหลังคาทั้งหมดฉาบปูนเรียบ
เครื่องลำยองเป็นปูนปั้นเรียบยอดจั่ว และหางหงส์ปั้นปูนรูปดอกบัวตูม หน้าบันก่ออิฐถือปูนเรียบ
ผนังด้านหน้ามีประตูตรงกลางด้านหลังทึบ ด้านข้างมีซุ้มหน้าต่างด้านละ ๓ ซุ้ม
แต่มีหน้าต่างจริงเพียงช่องเดียว ฐานอาคารเป็นฐานบัวลูกฟัก แอ่นโค้งคล้ายท้องเรือสำเภา
อันเป็นลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ฝาผนังด้านในมีภาพจิตรกรรมเรื่องพุทธประวัติตอนเทพชุมนุมและภาพยักษ์
ด้านหลังวิหารมีเจดีย์ขนาดใหญ่ย่อมุมไม้สิบสอง ก่ออิฐถือปูน ฐานเจดีย์เป็นฐานบัวลูกฟักซ้อนกัน
องค์ระฆังย่อมุม มีบัลลังก์รองรับปล้องไฉนและส่วนยอด วิหารแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ
และกำหนดขอบเขตโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙
ปรางค์วัดอรัญญิกาวาส
วัดอรัญญิกาวาส อยู่ในเขตตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมือง ฯ ปรางค์ประธานประกอบด้วยปรางค์บริวารขนาดเล็กกว่าอยู่สี่ด้าน
มีลวดลายปูนปั้นประดับสวยงาม ปรางค์ทั้งหมดล้อมรอบด้วยระเบียงคดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทราย
พุทธศิลปะแบบอยุธยาประดิษฐานอยู่โดยรอบ นอกระเบียงคดด้านหลังมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์
สลักจากหินทรายสีแดง แต่เดิมคงสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
นอกจากพระปรางค์แล้ว ในบริเวณวัดยังมีเจดีย์ทรงระฆังกลมอีกสององค์อยู่ทางหน้าของวัด
เป็นเจดีย์ศิลปะแบบลังกา ซึ่งเป็นที่นิยมสร้างในศิลปะสุโขทัย และอยุธยาตอนต้น