| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์

            ที่ราบลุ่ม แม่น้ำน่าน เป็นบริเวณหนึ่งที่พบหลักฐานการเข้ามาอยู่อาศัยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์  ตามเส้นทางแม่น้ำน่าน บริเวณตอนใต้เขื่อนสิริกิติ์ลงมาที่บ้านพังแหวน แก่งตาน และปากห้วยฉลอง ตำบลผาเมือง อำเภอท่าปลา  หลักฐานที่พบเป็นเครื่องมือหินเมื่อประมาณ ๘,๐๐๐ - ๙,๐๐๐ ปีมาแล้ว  จากหลักฐานที่มีอยู่ไม่มาก  สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ในลักษณะสังคมแบบเร่ร่อน จับสัตว์และหาปลา  ยกเว้นที่ปากห้วยฉลองได้พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรของมนุษย์ใช้เครื่องมือหินขัด
            หลักฐานทางโบราณคดีส่วนหนึ่งพบที่บริเวณเหนือสถานีรถไฟปางต้นผึ้ง อำเภอเมือง ฯ มีโบราณวัตถุอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น  ลูกปัดหิน  มีดสำริด  ขวานสำริด  ลูกปัดสำริด  กระดูก และเศษภาชนะดินเผามีลายเส้นและลายขีด

            นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอีกส่วนหนึ่งได้แก่ ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ที่เขาตาพรม และเครื่องมือใบหอกสำริด  กำไลหิน  ภาชนะดินเผาชนิดไม่ขัดผิว  แต่งผิวด้วยลายเชือกทาบ ผสมกับลายขีด ที่ถ้ำเขากระดูก  เขาหน้าผาตั้ง ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขัน  หลักฐานเหล่านี้อยู่ร่วมกับโครงกระดูกมนุษย์  เครื่องมือโลหะที่พบเหล่านี้น่าจะมีความสัมพันธ์กับชุดเครื่องสำริดที่พบมาก่อนแล้ว เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ที่บริเวณม่อนหรือเนินเขาเตี้ย ๆ ในเขตตำบลท่าเสา อำเภอเมือง ฯ ซึ่งวัตถุที่พบประกอบด้วย กลองมโหระทึก  กาน้ำ  พร้าสำริด เป็นต้น

            เมื่อประมวลหลักฐานทางโบราณคดีเท่าที่ค้นพบแล้ว ทำให้ทราบในขั้นต้นว่า ในเขตพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ได้เคยมีมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันของหลักฐานทางโบราณคดี ระหว่างท้องถิ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านและลำน้ำสาขา  แสดงว่าน่าจะมีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์ในท้องถิ่น จนเกิดเป็นชุมชนขึ้นมา และมีความสัมพันธ์ไปถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งได้แก่ดินแดนทางภาคอิสานเหนือของไทย แขวงไชยบุรีของลาว และอาจจะเลยไปถึงแหล่งวัฒนธรรมดองซอนในเวียดนามด้วย
สมัยประวัติศาสตร์

            บริเวณเก่าแก่ที่น่าจะเป็นชุมชนสมัยแรกได้แก่เวียงเจ้าเงาะ  ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำน่านห่างจากบริเวณปากคลองโพไปประมาณ ๕ กิโลเมตร  เชื่อว่าเป็นเมืองโบราณที่เก่ากว่าสมัยสุโขทัย  จากร่องรอยกำแพงที่เหลืออยู่  สันนิษฐานว่า เวียงเจ้าเงาะน่าจะสร้างขึ้นก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘

            บริเวณใกล้เคียงกันกับเวียงเจ้าเงาะได้พบร่องรอยเมืองโบราณที่ชื่อว่าเมืองทุ่งยั้ง  มีกำแพงเมืองล้อมรอบลัดเลาะไปตามเนินเขา  มีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร  เป็นเมืองซ้อนเมืองกันอยู่กับเวียงเจ้าเงาะ  เป็นเมืองสมัยเดียวกันกับสุโขทัย และศรีสัชนาลัย  เพราะกำแพงเมืองที่เหลืออยู่มีลักษณะ ๓ ชั้น ที่เรียกว่าตรีบูร อันเป็นลักษณะเฉพาะของสุโขทัย  ความเป็นมาของเมืองทุ่งยั้งไม่ชัดเจนเช่นเดียวกันกับเวียงเจ้าเงาะ  มีเพียงที่เป็นตำนานปรำปราถึงประวัติความเป็นมา  และได้มีการกล่าวอ้างถึงชื่อเมืองนี้ในพงศาวดารเหนือที่กล่าวถึงเมืองทุ่งยั้งว่า มีพญาคนหนึ่ง ชื่อ บาธรรมราช ผู้ครองเมืองสวรรคโลก เป็นผู้สร้างเมืองทุ่งยั้ง เพื่อให้โอรสองค์หนึ่งไปครอง ให้ชื่อว่ากัมโพชนคร  จากศิลาจารึกหลักที่ ๓๘ ซึ่งจารึกเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๔๐ ปรากฎชื่อเมืองทุ่งยั้งอยู่ด้วย ในกฎหมายลักษณะลักพา ในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้กล่าวถึงชื่อเมืองทุ่งยั้งไว้คู่กับเมืองบางยม
            ได้มีการศึกษาในประเด็นที่ว่าเมืองทุ่งยั้งอาจเป็นเมือง ๆ เดียวกับเมืองราด ซึ่งเป็นเมืองที่พ่อขุนผาเมืองปกครองอยู่ก่อนที่จะร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาว เข้ายึดเมืองศรีสัชนาลัย และเมืองสุโขทัยคืนมาจากขอม สมาสโขลญลำพังได้สำเร็จ และสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี

            บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่านอีกแห่งหนึ่งที่มีความสำคัญคือเมืองฝาง  เมืองฝางปรากฏชื่ออยู่ในศิลาจารึกหลักที่ ๒  ซึ่งได้กล่าวถึงพระมหาเถรศรีศรัทธา ซึ่งเชื่อว่าเป็นหลานของพ่อขุนผาเมือง ว่าก่อนที่ท่านจะเดินทางไปจาริก แสวงบุญที่ลังกา ในสมัยพญาเลอไท ได้แวะมานมัสการพระธาตุวัดพระฝาง แล้วจึงเดินทางต่อไปยังเมืองแพร่ ลำพูน และลงเรือที่อ่าวเมาะตะมะไปลังกา นอกจากนี้ในศิลาจารึกหลักที่ ๓  ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๙๐๐ ก็ได้ปรากฏชื่อเมืองฝางอยู่ด้วยเช่นกัน
สมัยอยุธยา

            อุตรดิตถ์เป็นหัวเมืองชายแดนเหนือสุดของราชอาณาจักรอยุธยา  ชุมชนอยู่กันอย่างหนาแน่นมั่นคง อยู่บริเวณที่ราบแถบปากคลองโพ  ชาวลุ่มแม่น้ำภาคกลางเรียกว่าชาวเหนือ มาตั้งแต่ต้นสมัยอยุธยา อุตรดิตถ์เป็นชุมทางการเดินทางไปมาระหว่างภาคกลางกับภาคเหนือ จึงเปรียบเสมือนประตูสู่ล้านนา  และกลายเป็นเมืองหน้าด่าน และย่านการค้าที่สำคัญ
            ประมาณปี พ.ศ. ๒๐๐๖ ได้มีการอพยพของคนกลุ่มไท - ยวน จากเชียงแสนเข้ามายังบริเวณเมืองลับแล และต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๑๒๗ หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกู้อิสระภาพจากพม่า ได้มีการกวาดต้อนผู้คนจากอุตรดิตถ์มายังภาคกลาง แถบกรุงศรีอยุธยา เพื่อเตรียมกำลังไว้รับศึกพม่า  หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒  เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ บริเวณเมืองอุตรดิตถ์ได้เป็นแหล่งหลบภัยของราษฎรเป็นจำนวนมาก  เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกเส้นทางเดินทัพของพม่า และได้เกิดเป็นที่ตั้งของชุมนุมเจ้าพระฝาง  มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองฝาง
สมัยธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์

            สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  ทรงเล็งเห็นความสำคัญของเมืองอุตรดิตถ์ ในฐานะที่เป็นเมืองหน้าด่านทางด้านนี้  จึงได้ทรงแต่งตั้งนายทหารคนสนิทหลายคน ขึ้นครองหัวเมืองทางเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองพิชัย ได้ให้พระยาสีหราชเดโชชัย (จ้อยหรือ ทองดี วิชัยขัตคะ) เป็นเจ้าเมือง  ซึ่งท่านได้สร้างวีรกรรมในการต่อสู้กับข้าศึก จนได้รับสมญานามว่า พระยาพิชัยดาบหัก
            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดกรณีกบฎเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๙ - ๒๓๗๕  เมื่อปราบกบฎได้ราบคาบ ก็ได้กวาดต้อนผู้คนกลุ่มลาวเวียงจันทน์มาอยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ แถบเมืองพิชัย และเมืองตรอน
            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๕  เมืองพิชัยได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นหัวเมืองชั้นโท  และพระราชทานชื่อเมืองให้ชื่อว่า อุตรดิตถ์ ซึ่งหมายถึงเมืองท่าทางทิศเหนือ และในปีเดียวกันนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ได้ทรงยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงตุง ใช้เส้นทางผ่านเมืองอุตรดิตถ์ ได้เสด็จมาพักอยู่ที่หาดท่าอิฐ ๑ เดือน  ก่อนจะเดินทัพข้ามเขาพลึง  ผ่านเข้าเมืองแพร่ เมืองน่าน เชียงราย แล้วออกนอกเขตแดนที่สบรวกที่เชียงแสน  แล้วจึงเข้าสู่เมืองเชียงตุง
            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พวกฮ่อได้ก่อการกบฎขึ้นในดินแดนพระเทศราชฝั่งลาว ทำให้มีผู้อพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจำนวนมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำการค้าขายในแถบบางโพ - ท่าอิฐ
            ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๓๑  ไทยได้ส่งกองทัพเข้าไปปราบฮ่อหลายครั้ง  การเดินทัพได้ใช้เส้นทาง จากอุตรดิตถ์ เข้าบ้านน้ำพี้ ไปยังเมืองน้ำปาด  ผ่านภูดู่ ไปบ้านปากลาย  แล้วลงเรือไปตามแม่น้ำโขง จนถึงเมืองหลวงพระบาง
            เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๗  พระวิภาคภูวดล (เจมส์  ฟิตซรอย  แมคคาร์ธี เอสไควร์ - ชาวอังกฤษ) ได้เดินทางไปทำแผนที่ในฝั่งลาวตามเส้นทางแถบแขวงไชยบุรี เชียงขวาง ตลอดไปถึงเวียงจันทน์
            เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าาเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินเมืองอุตรดิตถ์โดยชลมารค เจ้านครลำปางเจ้าบุญแพร่ และเจ้านครน่าน ได้เดินทางมารับเสด็จที่เมืองอุตรดิตถ์  โดยที่เจ้านครลำปางกับเจ้านครแพร่มาทางบก  ส่วนเจ้านครน่านมาทางเรือ
            เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ พวกเงี้ยวได้ก่อการจลาจลขึ้นที่เมืองแพร่ ทางกรุงเทพ ฯ ได้ให้เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (เจิม - แสง - ชูโต) เป็นแม่ทัพขึ้นมาระงับเหตุ  เมืองอุตรดิตถ์ก็ได้เป็นที่ประชุมพลของบรรดาหัวเมืองทางเหนือที่ส่งกำลังมาช่วยปราบเงี้ยว

            ในปี พ.ศ. ๒๔๔๘ - ๒๔๔๙  ได้สร้างทางรถไฟสายเหนือผ่านเมืองอุตรดิตถ์  ทำให้อุตรดิตถ์มีบทบาทโดดเด่นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต คือ เป็นชุมทางคมนาคม และการค้าขาย ทางรถไฟสร้างเสร็จและรถไฟแล่นมาถึงเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒  ทำให้อุตรดิตถ์กลายเป็นย่านรถไฟใหญ่ มีสถานีใหญ่อยู่ใกล้เคียงกันถึง ๒ สถานีคือ สถานีอุตรดิตถ์ และสถานีศิลาอาสน์  ซึ่งเป็นจุดที่ทางรถไฟเริ่มขึ้นสู่ที่สูง ผ่านภูเขาสูงชันต้องเพิ่มจำนวนหัวรถจักรในการลากจูงขบวนรถ
            ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓  เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศส ไทยได้เรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส จังหวัดอุตรดิตถ์มีเขตแดนติดต่อกับอิโดจีนด้านเมืองปากลาย  ซึ่งเคยเป็นดินแดนไทยมาก่อน  จึงได้ใช้จังหวัดอุตรดิตถ์เป็นที่มั่น รวบรวมกำลังซึ่งยกมาจากนครสวรรค์  เพื่อเข้ายึดเมืองปากลายกลับคืนมา
            ปี พ.ศ. ๒๔๘๖  กองทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้งอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์  ในขณะที่เกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา ทางกองทัพไทยจึงได้จัดตั้งกองพันทหารม้าที่ ๖ ขึ้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ในปีเดียวกัน  ด้วยเหตุผลที่ว่าจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นจังหวัดสำคัญที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอินโดจีน  ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ จังหวัดอุตรดิตถ์ ถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนัก ณ ปมคมนาคม อันได้แก่สะพานข้ามแม่น้ำน่าน และชุมทางรถไฟบ้านดารา
            ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ เริ่มสร้างเขื่อนสิริกิติ์ที่ผาซ่อม อำเภอท่าปลา สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐
 
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |