| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางศาสนา

พระแท่นศิลาอาสน์

            ตั้งอยู่บนเนินเขา ในเขตตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดพระพุทธบาทยุคล ที่มีอาณาเขตติดต่อกัน  เป็นที่เชื่อมาแต่โบราณกาลว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับนั่ง ณ แท่นศิลาแลง ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า พระแท่นศิลาอาสน์ ตัวพระแท่นเป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๘ ฟุต ยาว ๑๐ ฟุต สูง ๓ ฟุต มีมณฑปครอบอยู่ภายในพระวิหาร

            วัดพระแท่นศิลาอาสน์เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง และสร้างแต่เมื่อใด  แต่จากการสันนิษฐานทางประวัติศาสตร์และทางโบราณคดี ก็น่าจะสร้างขึ้นไปสมัยอยุธยา
            ประเพณีทำบุญไหว้พระแท่นศิลาอาสน์ ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีมาแต่เมื่อใด  แต่ได้มีมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว  มีผู้คนมาสักการบูชาตามเทศกาล และนอกเทศกาล  ด้วยมีความเชื่อว่าการได้มานมัสการพระแท่นศิลาอาสน์แล้ว จะได้รับอานิสงค์สูงสุด ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้คนในเขตทางตอนเหนือ ที่อยู่ใกล้เคียงกับจังหวัดอุตรดิตถ์ จะพยายามดั้นด้นขวนขวายมานมัสการ พระแท่นศิลาอาสน์ให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต
            ในวันเพ็ญเดือนสาม  ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชา งานเทศกาล จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น ๘ ค่ำ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระภิกษุสงฆ์จะเข้าไปในพระวิหาร แล้วสวดพระพุทธมนต์ พระธรรมจักรกัปปวัตนสูตร  ตอนเช้าพระภิกษุสงฆ์ก็จะออกบิณฑบาตตามหมู่บ้าน  และบรรดาชาวบ้านก็จะนำอาหารมาถวายที่วัดอีกเป็นจำนวนมาก  เมื่อพระภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จ  ชาวบ้านก็จะแบ่งปันอาหารรับประทานกันทั่วหน้า  รวมทั้งผู้ที่เดินทางมานมัสการ พระแท่น ฯ ด้วย  เป็นการทำบุญกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี
           ในบริเวณใกล้เคียงกันก็จะเป็นองค์อนุสรณ์ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมา ณ ที่บริเวณนี้ได้ วัดพระยืน พุทธบาทยุคล วัดพระนอน และพระบรมธาตุทุ่งยั้ง  ทำให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะบูชาพระพุทธเจดีย์ดังกล่าวทั้งหมดได้ในโอกาสเดียวกัน
หลวงพ่อเพชร

            เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นั่งขัดสมาธิเพชร  หล่อด้วยสำริด เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนสิงห์หนึ่งมีพุทธลักษณะงดงามมาก  ประดิษฐานอยู่ที่วัดวังเตาหม้อ (วัดท่าถนน) ตลาดบางโพ อำเภอเมือง ฯ ชาวอุตรดิตถ์นับถือว่า เป็นพระพุทธสำคัญประจำเมือง มีงานนมัสการประจำปีในวันกลางเดือนสี่ของทุกปี มีประวัติอยู่ว่า
            หลวงพ่อด้วง เจ้าอาวาสวัดหมอนไม้ ได้นำพระพุทธรูปองค์นี้ซึ่งขุดพบมามอบให้ ประดิษฐานไว้ที่วัดวังเตาหม้อ ซึ่งมีเจ้าอาวาสชื่อหลวงพ่อเพชร เนื่องจากวัดหมอนไม้ไม่มีพระอุโบสถ และอยู่ในที่เปลี่ยว  ส่วนวัดวังหม้ออยู่ในที่ชุมชนน่าจะเป็นการเหมาะสมกว่า
            ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้หัวเมืองฝ่ายเหนือจัดหาพระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่ ไปประดิษฐานที่วัดเบญจมบพิตร  พระพุทธรูปสำริดหลวงพ่อเพชรจึงถูกอัญเชิญไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ทำให้หลวงพ่อเพชรเจ้าอาวาสเสียใจ ได้ออกธุดงค์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ จนเวลาล่วงเลยไปเป็นเวลา ๑๐ ปี จึงได้มรณะภาพในป่าบนเขาบ้านนาตารอด ตำบลบ้านด่าน อำเภอเมือง ฯ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร กลับคืนไปประดิษฐานไว้ที่วัดวังเตาหม้อเช่นเดิม ตามคำขอของชาวเมืองอุตรดิตถ์
วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง

           อยู่ในเขตตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล เป็นปูชนียสถานเก่าแก่ เป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์พระธาตุเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลม  ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมสามชั้น  ฐานล่างมีเจดีย์องค์เล็กเป็นบริวารอยู่สี่มุม ฐานชั้นที่สามมีซุ้มคูหาสี่ด้าน  จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารเป็นภาพพุทธประวัติตอนผจญมารที่ผนังด้านบน  ส่วนตอนล่างเป็นภาพเรื่องสังข์ทอง ภาพส่วนใหญ่ลบเลือนไปมาก  จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวนี้เลื่องลือกันว่างดงามมากมาแต่เดิม  วัดบรมธาตุทุ่งยั้งเดิมชื่อวัดมหาธาตุ  พระธาตุเจดีย์แต่เดิมมียอดสูงและสวยงามมาก  แต่ได้หักพังลงเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ต่อมาหลวงพ่อแก้วร่วมกับชาวบ้านได้ปฎิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่  ทางด้านเหนือของวัดมีสระรูปสี่เหลี่ยมอยู่สองสระ เล่าสืบกันมาว่าในสระทั้งสองนั้นมีถ้ำอยู่สระละถ้ำโดยที่สระทางด้านตะวันตกมีถ้ำกว้างขวางและลึกมาก
มีความยาวจนไปทะลุถึงเมืองระแหง ถ้ำดังกล่าวนี้เจ้าผู้ครองนครในสมัยนั้น สร้างขึ้นมาเพื่อผลทางยุทธศาสตร์  ปัจจุบันทั้งสระและถ้ำดังกล่าวตื้นเขินจนดูไม่ออกว่าเป็นสระและเป็นถ้ำ  พระวิหารสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา
วัดพระยืนพุทธบาทยุคล

           อยู่ในเขตตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล เป็นวัดเก่าแก่คู่กับวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่บนเนินเขาลูกเดียวกันแต่คนละยอด  ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีตำนานกล่าวว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาประทับยืนบนยอดเขานี้ เพื่อทอดพระเนตรไปยังทิศต่าง ๆ เป็นปริมณฑล และได้ทรงอธิษฐานประทับรอยพระพุทธบาทไว้ จึงปรากฎรอยพระพุทธบาททั้งคู่บนศิลาแลง ต่อมาในสมัยสุโขทัย เจ้าธรรมราชกุมาร ผู้ครองนครศรีสัชนาลัยได้โปรดให้สร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาทไว้  ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ได้มีการบูรณะพระมณฑป และทำหลังคาเป็นจุลมงกุฏ และในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ได้มีการปฏิสังขรณ์ และเปลี่ยนหลังคาเป็นจตุรมุข ดังที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบัน

           พระพุทธรูปในพระอุโบสถมีชื่อว่า หลวงพ่อพุทธรังษี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เชื่อว่า สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัย หล่อด้วยสำริดแล้วโปรดเกล้า ฯ ให้นำมาประดิษฐานที่มณฑปของวัดนี้  ต่อมาเมื่อเกิดศึกกับพม่าจึงได้นำปูนมาพอกไว้  ภายหลังปูนกระเทาะออกมาจึงพบว่าเป็นพระพุทธรูปสำริด จึงได้สร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่แลัวอัญเชิญพระพุทธรังสีไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ

            มณฑปพระยืน เป็นมณฑปจตุรมุขศิลปสมัยเชียงแสนรุ่นแรก ยอดเป็นปลายแหลมขึ้นไปมีวิมานทั้งสี่ทิศ  บนยอดวิมานทำเป็นปล้องไฉน มีฉัตรแบบพุกาม ประดับใบระกาและหางหงส์  หลังคามุงกระเบื้องดินเผาหางตัดแบบเชียงแสน  ภายในมณฑปมีรอยพระพุทธบาทคู่ประทับอยู่บนฐานดอกบัวทรงกลม  ด้านหลังมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่
วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ

            ตั้งอยู่ในเขต ตำบลผาจก อำเภอเมือง ฯ เป็นวัดเก่าแก่ปูชนียสถานที่สำคัญยังเหลืออยู่คือ เจดีย์พระธาตุพระฝาง ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย  ได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ
            วิหารใหญ่แต่เดิมมีพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนประดิษฐานอยู่ แต่ปัจจุบันได้ถูกขโมยไปแล้ว  ด้านหลังวิหารเป็นองค์พระธาตุ มีกำแพงล้อมรอบ บริเวณหลังสุดมีพระอุโบสถเก่าอยู่อีกหลังหนึ่ง  สภาพโดยทั่วไปชำรุดทรุดโทรมมาก  เดิมมีบานประตูแกะสลักสวยงาม แต่ก็ได้ถูกขโมยไปแล้วเช่นกัน  ด้านหน้าโบสถ์มีต้นมะม่วงใหญ่อายุหลายร้อยปีอยู่ต้นหนึ่ง  บริเวณรอบนอกวัดด้านหลังเป็นป่าละเมาะ  ส่วนด้านหน้ามีบ้านคนอยู่บ้างแต่ไม่หนาแน่น
            จากหลักฐาน แสดงความสำคัญทางประวัติศาสตร์  รวมทั้งการบูรณะพระบรมธาตุสวางคบุรี ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พอประมวลได้ดังนี้
            เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๐  โปรดเกล้า ฯให้พระยามหาอำมาตยาธิบดีเป็นแม่กองสักเลข หัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นไป ตั้งอยู่ ณ เมืองพิษณุโลก และโปรดให้พระยาอุตรดิตถาภิบาล  ผู้สำเร็จราชการเมืองอุตรดิตถ์เป็นแม่กองรับจ่ายเลข  ข้าพระโยมสงฆ์ตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ  ทำการปฏิสังขรณ์พระเจดีย์วัดพระธาตุในเมืองสวางคบุรีที่เรียกกันว่า เมืองฝาง  พระเจดีย์นั้นชำรุดมาก ต้องรื้อลงมาถึงชั้นทักษิณที่สาม  เมื่อรื้ออิฐเก่าที่หักพังออกก็พบแผ่นเหล็กเป็นรูปฝาชีหุ้มผนึกไว้แน่น  เมื่อตัดแผ่นเหล็กออกจึงพบผอบทองเหลือง  บนฝาผอบมีพระพุทธรูปองค์เล็กบุทองคำฐานเงินอยู่องค์หนึ่ง  ในผอบมีพระบรมธาตุขนาดน้อยสีดอกพิกุลแห้ง ๑,๐๐๐ เศษ แหวน ๒ วง พลอยต่างสี ๑๓ เม็ด  เมื่อพระยาอุตรดิตถาภิบาลมีใบบอกมา  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดเรือม่านทองให้ข้าหลวงขึ้นไปรับ เชิญพระบรมธาตุมาขึ้นที่กรุงเก่า เชิญขึ้นไว้ที่พระตำหนักวังป้อมเพชร  แล้วจัดเรือพระที่นั่งสยามอรสุมพลมีปี่พาทย์ แตรสังข์ รับเชิญลงมากรุงเทพ ฯ เชิญขึ้นไว้ ณ พระตำหนักน้ำ ทำการสมโภชแล้วเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  ทรงมีพระราชดำริว่าควรที่จะส่งพระบรมธาตุคืน ให้ไปบรรจุไว้ตามที่ดังเก่าบ้าง  แบ่งไว้สักการะบูชา ณ กรุงเทพ ฯ บ้าง  จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ช่างหลวงทำกล่องทองคำเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุชั้นใน  แล้วใส่กล่องเงินเป็นชั้นที่สอง  ใส่ในพระเจดีย์กาไหล่เงินเป็นชั้นที่สาม  แล้วใส่ในพระเจดีย์ทองเหลืองเป็นชั้นที่สี่  แล้วใส่ครอบศิลาตรึงไว้แน่นหนา  ให้เจ้าพนักงานเชิญพระบรมธาตุใส่พระเสลี่ยงน้อยกั้นพระกรด ไปตั้งบนบุษบกที่พระตำหนักน้ำ  พร้อมเครื่องสักการะบูชา  มีเรือกรมการและราษฎรเมืองนนทบุรี แห่เป็นกระบวนขึ้นไปส่งถึงเมืองปทุม  แล้วผู้สำเร็จราชการเมืองกรมการตั้งแต่เมืองปทุมธานีขึ้นไป  จัดแจงทำสักการะบูชา  แล้วจัดเรือแห่มีปี่พาทย์ฆ้องกลองเล่นสมโภชตามมีรับส่งต่อ ๆ จนถึงเมืองสวางคบุรี
วัดดอนสัก
            ตั้งอยู่ในเขตตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๒๗๕ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๑ การที่ได้ชื่อว่าวัดดอนสักก็เนื่องจากเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเตี้ย ๆ และบนเนินนี้มีต้นสักอยู่ด้วย วัดดอนสักถูกไฟไหม้จนเหลือแต่พระวิหารหลังเดียว เป็นพระวิหารเก่าแก่ สร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะคล้ายเรือสำเภา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีจุดเด่นอยู่ที่บานประตู  ด้านหน้ามี ๑ ประตู แกะสลักเป็นลายกนกมีรูปสัตว์ในป่าหิมพานต์ แทรกอยู่ในที่ต่าง ๆ ตัวกนกอ่อนช้อย ช่องไฟได้สัดส่วน  ทวยเชิงชายทั้งสองด้านสลักเป็นรูปพญานาคลดหลั่นกันลงมา  ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบเชียงแสนปนสุโขทัย  เสาเป็นเสาแปดเหลี่ยม  หัวเสาเป็นบัวโถกลีบซ้อน หน้าบันแกะสลักด้วยไม้ปรู เป็นภาพลวดลายต่าง ๆ กัน เช่น ลายกนกมีรูปหงส์กนกก้านขดไขว้  ลายเทพนม ลายภาพยักษ์ ประดับด้วยกระจกสีขาวแบบอยุธยา  หลังคาชั้นเดียวมุงด้วยกระเบื้องดินเผาแผ่นเล็ก ๆ ลดหลั่นกันลงมา
            กรมศิลปากรได้บูรณะพระวิหารหลังนี้จนเป็นที่เรียบร้อย ทั้งภายนอกและภายในตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๐
เจดีย์คีรีวิหาร
            ตั้งอยู่ในเขตตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล อยู่บนเนินเขาลูกเล็กๆ มีพระธาตุเจดีย์เก่าแก่อยู่องค์หนึ่งแบบทรงลังกา มีซุ้มคูหาที่ฐานทั้งสี่ทิศ มีเจดีย์องค์เล็กตั้งอยู่สี่มุม  ภายในบริเวณวัดมีศาลาการเปรียญขนาดใหญ่  ศาลาการเปรียญหลังเก่า และพระอุโบสถหลังเก่าอยู่ทางด้านซ้าย
วัดกลางธรรมสาคร

            ตั้งอยู่ในเขตตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง ฯ มีพระอุโบสถเก่าแก่อยู่ ๑ หลัง สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่สามด้าน ลายปูนปั้นที่ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และตัวเหรา รวมทั้งที่ซุ้มหน้าต่างประตูมีความวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง  หน้าบันเป็นไม้จำหลักรูปครุฑจับนาค  มีตราพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดิษฐานอยู่ท่ามกลางลายเครือเถาก้านขด มีเทพนมอยู่เป็นระยะ มีรูปสัตว์สอดแทรกอยู่ตามลายเครือเถาที่เกี่ยวพันกันไปอย่างต่อเนื่อง
            วัดกลางธรรมสาคร เดิมชื่อวัดโพธาราม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ประมาณปี พ.ศ. ๒๒๘๕ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๐๐ เคยเป็นท่าจอดเรือ เพื่อเดินเท้าไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์  ต่อมาลำน้ำเปลี่ยนทางเดินจึงเลิกใช้กัน และทางน้ำเดิมกลายเป็นบุ่งน้ำหน้าวัด  ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดบุ่งวัดกลาง ปัจจุบันพระวิหารได้พังทลายไปหมดแล้วเพราะขาดการบูรณะ  พระอุโบสถหลังที่เหลืออยู่ก็อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก  กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และได้เคยบูรณะไปบางส่วน
วัดใหญ่ท่าเสา

            อยู่ในเขตตำบลท่าเสา อำเภอเมือง ฯ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๒๕  ไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๓ โบราณสถานที่สำคัญในวัดท่าเสาคือ มีโบสถ์เก่าแก่ มีลักษณะเด่นที่รูปทรงและองค์ประกอบ  บานประตูไม้แกะสลักสองบาน  ลายไม้ฉลุที่หน้าบันของพระอุโบสถทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งเชิงชาย ช่อฟ้า ใบระกา ศาลาการเปรียญเก่าหลังใหญ่ และหอไตร  ก็เป็นสถาปัตยกรรมทีเก่าแก่สวยงาม  ด้านหลังพระอุโบสถเคยมีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่  แต่ปัจจุบันได้ถูกกลบถมไปหมดแล้ว
วัดท่าถนน
            อยู่ในเขตตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง ฯ  ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน วัดท่าถนนเดิมชื่อวัดวังเตาหม้อ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๐๒ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๙  เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปหลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสำคัญของชาวอุตรดิตถ์  เป็นพระพุทธรูปเชียงแสนสิงห์ ๑ หน้าตักกว้าง ๓๒ นิ้ว สูง ๔๑ นิ้ว หล่อด้วยสำริด ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านขวาของพระอุโบสถ

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |