| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา | |
ตั้งอยู่นอกบ้านตาดทองไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลเมตร อำเภอยโสธร
ตามตำนานกล่าวว่า สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๒๑ เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
ก่ออิฐถือปูน ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอีสาน ผสมเรือนธาตุอย่างล้านนา มีซุ้มจรนำทั้งสี่ทิศ
ฐานเป็นฐานเขียงซ้อนกัน ๔ ชั้น ต่อขึ้นไป เป็นฐานปัทม์ ลักษณะบัวหงาย
มีลูกแก้วอกไก่คั่นกลาง รองรับเรือนธาตุที่ก่อซุ้มจรนำทั้ง ๔ ทิศ เป็นซุ้มหลอก
มียอดซุ้มโค้งแบบหน้านาง สลักลายปูนปั้นพรรณพฤกษา ด้านข้างซุ้มทำลายตาเวนหรือดวงตะวันประดับด้วยกระจก
ส่วนบนของเรือนธาตุลักษณะคล้ายบัวหงาย ยื่นออกมารองรับกับฐานปัทม์ช่วงล่าง
ส่วนยอดทรงบัวเหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ช่วง ที่ยอดธาตุส่วนล่างทั้ง ๔ มีกาบยื่นออกมาทำเป็นรูปจำลองอาคารซ้อนกันขึ้นไป
ส่วนยอดสุดมีแอวขันคั่นเพื่อลดความสูง เมื่อมองดูจึงเกิดความพอเหมาะพอดีในด้านทัศนศิลป์โดยรอบองค์เป็นกลุ่ม
ด้านหน้าขององค์ธาตุมีอุปมุง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส แบบศิลปกรรมอีสานลาว หลังคาโค้งมน ประดับลายปูนปั้น สันมุมทั้งสี่เป็นรูปพญานาคผงกหัวขึ้นในส่วนปลาย ลำตัวทอดยาวไปตามส่วนโค้งของสันหลังคา ส่วนยอดทำคล้ายธาตุจำลอง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป ประวัติความเป็นมาของพระธาตุแห่งนี้มีอยู่สองนัย นัยหนึ่งมีที่มาจากตำนานก่องข้าวน้อย อีกนัยหนึ่งมีที่มาจากการบูรณะพระธาตุพนม บรรดาผู้ที่จะไปร่วมนำของมีค่าไปบรรจุที่พระธาตุพนม ได้เดินทางมาพักอยู่บริเวณใกล้บ้านตาดทอง ได้ข่าวว่าการบูรณะพระธาตุพนมเสร็จแล้ว จึงได้พร้อมใจกันสร้างเจดีย์ครอบของมีค่าที่เตรียมมาดังกล่าวนั้น พร้อมกันนั้นชาวสะเดาตาดทอง ก็ได้นำถาดทองที่ใช้เป็นพานอัญเชิญวัตถุมงคล ไปบรรจุในพระธาตุพนม มารองรับวัตถุมงคลที่ชาวบ้านตั้งใจนำไปบรรจุในพระธาตุพนม แล้วช่วยกันก่อเจดีย์บรรจุไว้ |
ธาตุบ้านสะเดา
ตั้งอยู่ที่บ้านสะเดา อำเภอเมือง ฯ องค์พระธาตุก่อด้วยอิฐสององค์แรก
มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นรูปแบบของธาตุอีสานทรงแปดเหลี่ยม มีช่วงฐานต่ำ
เหนือขึ้นมาเป็นส่วนแอวขันรองรับองค์เรือนธาตุ ลักษณะคล้ายลาดบัวขนาดใหญ่ทรงแปดเหลี่ยม
และยอดบัวคล้ายบัวแปดเหลี่ยมทรงสูง เป็นยอดธาตุที่ซ้อนกับสองชั้น คั่นด้วยแอวขันขนาดเล็ก
ช่วงล่างมีลายปูนปั้นเป็นรูปกลีบบัว เหนือสุดขององค์ธาตุเป็นยอดฉัตร
ด้านหน้าของธาตุมีร่องรอยแท่นวางของบูชา
ธาตุองค์ที่สองตั้งอยู่ใกล้ธาตุองค์แรก แต่มีขนาดเล็กกว่า ปัจจุบันเหลือแต่เพียงส่วนฐาน
ตรงกลางมีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมคล้ายเป็นกรุ
โบราณวัตถุ ที่บรรจุในกรุกลางฐานได้แก่ พระพุทธรูปไม้แกะสลัก พระพุทธรูปบุเงิน
พระพุทธรูปสำริด พระพุทธรูปตะกั่ว พระพุทธรูปดินเผาสีแดงชาดปิดทอง
พระพิมพ์ กล้องยาสูบ และเครื่องถ้วยจีนจากโบราณวัตถุ และลักษณะของธาตุ
สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๓ - ๒๔ โดยฝีมือช่างพื้นเมือง
พระพุทธบาทบ้านหนองยาว
ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาท บ้านหนองยาว ตำบลหัวเมือง อำเภอมหาชนะชัย
เป็นรอยพระพุทธบาทจำลองที่ทำขึ้นตามคตินิยมในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในบริเวณเดียวกันได้พบพระพุทธรูปปางนาคปรก ทำด้วยหินทราย พร้อมศิลาจารึกอักษรไทยน้อย
ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้กันแพร่หลายในกลุ่มไท - ลาวอีสาน เมื่อร้อยปีก่อน
ข้อความในจารึกมีว่า พระมหาอุดมปัญญา ได้อาราธนารอยพระพุทธบาทมาแต่กรุงศรีอยุธยา
วัดมหาธาตุ
ปูชนียสถานในวัดได้แก่ พระธาตุพระอานนท์ และหอไตรกลางน้ำ
พระธาตุพระอานนท์ ออกแบบอย่างประณีต มีรูปแบบต่างจากธาตุอีสานทั่วไป องค์พระธาตุก่ออิฐถือปูน ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส ยาวด้านละ ๘ เมตร สูง ๒๕.๓๐ เมตร ฐานสูง ประกอบด้วยฐานเขียว ๓ ชั้น แอวขันปากพานคอดกิ่ว รองรับฐานบัวคว่ำบัวหงายท้องไม้มีลวดบัวลูกแก้วอกไก่คั่นกลาง เรือนธาตุค่อนข้างสูง แต่คั่นจังหวะให้ดูเล็กลงด้วยบัวคว่ำบัวหงาย หยักซ้อนกันขึ้นไปในช่วงล่าง ซุ้มจรนำประดิษฐานรูปยืน (คือพระอานนท์) มียอดซุ้มโค้งแบบหน้านางตกแต่งลายปูนปั้นทางสีเหลือง ส่วนยอดเป็นทรงดอกบัวเหลี่ยมซ้อนกัน ๓ ชั้น มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากทรวดทรงบัวเหลี่ยมของพระธาตุองค์อื่น คือได้ยกกระเปาะยื่นออกมาทั้งสี่ด้าน แต่ชั้นฐานถึงส่วนยอดช่วงล่าง ได้เสริมยอดปลีทำเป็นรูปแบบจำลองอาคารซ้อนกันขึ้นไป บนสุดเป็นยอดฉัตร ตามตำนานพื้นบ้านกล่าวว่า พระธาตุองค์นี้สร้างขึ้นโดยเสนาบดีเก่าจากกรุงศรีสัตนาคนหุต ทั้งยังส่งอิทธิพลทางรูปแบบการก่อสร้างให้กับพระธาตุตาดทอง พระธาตุหนองสามหมื่น ด้านหน้าองค์พระธาตุมีธาตุขนาดเล็ก เป็นธาตุบรรจุอัฐิพระวิชัยราชขัตติยวงศา (อดีตเจ้าเมืองสิงห์ท่า) ลักษณะธาตุได้รับอิทธิพลศิลปะจากหลวงพระบาง |
หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์
อยู่ที่วัดสระไตรนุรักษ์บ้านนาเวียง ตำบลนาเวียง อำเภอทรายมูล
เมื่อครั้งท่านเจ้าชาพระเถระผู้แตกฉาน ในธรรมพร้อมด้วยประชาชนส่วนหนึ่ง
ได้อพยพหลบหนีพระเจ้าสิริบุญสาร โดยได้รวบรวมทรัพย์สมบัติ และคัมภีร์ต่างๆ
มาด้วย ท่านเจ้าชาได้สร้างวัดขึ้นทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน
พร้อมขุดสระน้ำเพื่อสร้างหอไตรไว้เก็บคัมภีร์ สิ่งก่อสร้างในวัดประกอบด้วย
หอไตร กุฎี ศาลาโรงธรรม สิมน้ำ เป็นต้น
หอไตร
มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบพม่า สร้างโดยช่างลาวที่อพยพมาครั้งตั้งหมู่บ้าน
ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก กว้าง ๘.๓๐ เมตร ยาว ๑๐.๕๐
เมตร หลังคามุงด้วยไม้ซ้อนลดหลั่นกัน ๔ ชั้น มีชายคายื่นออกมาทั้ง ๔
ด้าน บานประตูแกะสลักลวดลายสวยงาม รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ของช่อฟ้า
กระจกประดับ บัวเชิงชาย หางหงส์ (ตัวหงา) มีลวดลายกนกซ้อนกัน
๔ ชั้น ตรงกลางเป็นห้องทึบเป็นที่เก็บพรไตรปิฎก มีทางเดินรอบนอก
พระไตรปิฎกผูกเป็นเรื่องราวบันทึกลงใบลาน แยกเป็นหมวดหมู่ ทั้งภาษาไทยอีสาน ขอม บาลี ตัวหนังสือเป็นอักษรธรรม อักษรไทยน้อย และอักษรขอม
มีคัมภีร์ใบลานอยู่ทั้งหมด ๑๙๘ มัด ๑,๕๕๓ ผูก
พระพุทธรูปโบราณวัดสิงห์ท่า
ประดิษฐานอยู่ที่วัดสิงห์ท่า บ้านสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง ฯ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ก่ออิฐฉาบปูนลงรักปิดทอง หน้าตักกว้างประมาณ ๓ เมตร พระพุทธรูปองค์นี้ตามตำนานกล่าวว่าได้ประดิษฐานอยู่ก่อนที่คนไท - ลาว เชื้อสายพระวอ พระตา จะอพยพเข้ามาอยู่ ชาวยโสธรจัดให้มีพิธีสรงน้ำสงกรานต์เป็นประจำทุกปี |
ประดิษฐาน อยู่ที่วัดศรีธาตุ บ้านสิงห์ ตำบลสิงห์ อำเภอเมือง ฯ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ก่ออิฐฉาบปูนลงรักปิดทอง หน้าตักกว้าง ๓ เมตร สูง ๓.๕๐ เมตร มีศิลปะการสร้างคล้าย พระพุทธรูปโบราณวัดสิงห์ท่า |
อยู่ที่บ้านดอนกลาง ตำบลค้อเหนือ อำเภอเมือง ฯ มีเรียกกันหลายชื่อด้วยกัน ได้แก่ พระธาตุเก่า พระธาตุหลักโลก พระธาตุโลกบาล มีโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่พบดังนี้ เจดีย์ทรงแปดเหลี่ยม มีลักษณะคล้ายส่วนบนของพระธาตุจอมศรี บนยอดเขาภูศรีเมืองหลวงพระบาง และพระธาตุดำ ที่นครเวียงจันทน์ เป็นเจดีย์รูปแบบศิลปะลาว ชาวยโสธรเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ราชวงศ์ลาวรุ่นก่อนมาสร้างไว้ พระพุทธรูปปางมารวิชัย ก่ออิฐฉาบปูน ประดิษฐานอยู่ห่างจากเจดีย์ประมาณ ๓ เมตร ทุกปีจะมีพิธีสรงน้ำสงกรานต์พระเจดีย์องค์นี้ |
พระธาตุหลักคำ
ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุหลักดำ บ้านน้ำดำน้อย ตำบลน้ำดำน้อย อำเภอเมือง
ฯ เป็นเจดีย์สององค์ติดกัน มีประวัติเล่าสืบกันมาว่า พระครูหลักคำ ซึ่งดำรงตำแหน่งสังฆปาโมกข์ประจำเมือง
จำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุในเมืองยโสธร ต่อมาท่านไม่พอใจเจ้าเมือง จึงขนเครื่องบริขาร
และคัมภีร์ใบลานลงเรือตามลำน้ำทวน มาสร้างวัดที่วัดบ้านน้ำดำน้อย ท่านได้สงวนป่าไม้ไว้เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า
ซึ่งยังคงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุเครื่องลางของขลัง
และคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาไว้ภายใน ส่วนเจดีย์องค์เล็กชาวบ้านได้สร้างขึ้นหลังจากท่านมรณภาพแล้ว
เพื่อบรรจุอัฐิของท่าน
พระธาตุบ้านเวิน
ประดิษฐานอยู่ที่วัดบ้านเวิน ตำบลผือฮี อำเภอมหาชนะชัย เป็นสถูปเก่าและชำรุดทรุดโทรมมาก
มีตำนานกล่าวว่า ในอดีตสมัยที่พระเรืองชัยชนะยกกำลังมาตั้งเมืองมหาชนะชัยที่บ้านเวินนั้น
ณ ตรงที่ตั้งเจดีย์แห่งนี้มีรูขนาดใหญ่ วันดีคืนดีจะมีนางนาคจากแม่น้ำชี
แปลงร่างเป็นหญิงสาวสวยมายืมฟืมจากชาวบ้านไปทอผ้า เมื่อชาวบ้านให้ยืมฟืมแล้วก็สะกดรอยตามหญิงสาวนั้นไป
เมื่อไปถึงรูดังกล่าวหญิงสาวนั้นก็หายตัวลงไปในรู ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า
หญิงสาวผู้นั้นอาจเป็นธิดาพญานาค จึงได้ช่วยกันสร้างสถูปเจดีย์ปิดทับช่องทางขึ้นลงของพญานาคเสีย
แล้วนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ภายในสถูป สมัยต่อมาได้มีการย้ายเมืองมหาชนะชัยไปอยู่ที่บ้านฟ้าหยาด
สถูปเจดีย์องค์นี้จึงถูกทิ้งร้างไว้ ในระยะต่อมาจึงได้มีชาวไท - ลาว
จากลุ่มน้ำมูล อพยพเข้ามาตั้งชุมชนใหม่ เป็นบ้านเวินในปัจจุบัน
พระธาตุฝุ่น
วัดป่าดอนธาตุ
ตั้งอยู่ในแนวป่าระหว่างบ้านบ่อบึงกับบ้านน้อยโพนจาน ตำบลสงยาง อำเภอมหาชนะชัย ตามลักษณะและสภาพโบราณสถานน่าจะเป็นวัดร้าง เพราะมีกองอิฐซึ่งน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างประเภทพระอุโบสถ หรือที่ทางอีสานเรียกว่าสิม และมีเจดีย์ที่ปรักหักพังลงมา เหลือแต่เพียงส่วนฐานขึ้นไปถึงส่วนแอวขัน มีศิลปะปูนปั้นเป็นลายก้านขด มีก้นหอยอยู่ด้านบน มีกาบซ้อนหอยลงสู่เบื้องล่าง ศิลปะคล้ายหรือเหมือนกันกับธาตุบรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิชัยราชขัติยวงศา ทั้งรูปแบบและขนาด |
รอยพระพุทธบาทจำลองวัดป่าอัมพวัน
วัดป่าอัมพวันตั้งอยู่ในอำเภอเมือง ฯ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยที่เมืองยโสธรมีเจ้าเมืองตามการปกครองหัวเมืองลาว
มีพระอุโบสถและมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท รอยพระพุทธบาทสร้างด้วยหินทรายแดง
กว้างประมาณ ๘๐ เซ็นติเมตร ยาวประมาณ ๓ เมตร ที่ขอบรอยมีลายแกะสลักเป็นลายก้านขด
ฐานด้านข้างเป็นรอยกลีบบัวซ้อนเหลื่อมกัน ตัวมณฑปเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
มียอดเรียวแหลมลดหลั่นจากเรือนมณฑปขึ้นไป
ประวัติความเป็นมา กล่าวว่า วัดป่าอัมพวันสร้างโดยพระสุนทรราชวงศา (ศรีสุพรหม)
กับอุปฮาดเงาะ อุปฮาดเงาะได้รับหน้าที่เป็นนายกอง คุมไพร่พลและเสบียงไปสมทบกับกองทัพของพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม คราวไปปราบศึกฮ่อที่หนองคาย มีความชอบได้รับโปรดเกล้า
ฯ พระราชทานยศเป็นเจ้าอุปฮาด เจ้าอุปฮาดดีใจมากจึงได้พาญาติพี้น้อง และบ่าวไพร่ไปเลือกหินจากริมน้ำห้วยทวน
ข้างบ้านสิงห์โคก นำมาสร้างรอยพระพุทธบาทจำลอง แล้วอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนแท่นข้างโบสถ์
ชาวเมืองเรียกว่า หอพระบาท
รอยพระพุทธบาทจำลองวัดศรีธรรมาราม
เดิมรอยพระพุทธบาทจำลองชิ้นนี้ ได้เคยประดิษฐานอยู่ที่วัดทุ่งสว่างชัยภูมิ ต่อมาวัดดังกล่าวไม่มีสงฆ์อยู่ครอง ทางวัดศรีธรรมารามจึงได้ขอเคลื่อนย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่วัดจนถึงปัจจุบัน
รอยพระพุทธบาทจำลองวัดพระพุทธบาทบ้านหนองยาง
เป็นรอยพระพุทธบาทที่สลักจากหินทราย ด้านบนฝ่าพระบาทสลักลายมงคล ๑๐๘
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในศาลาโถงวัดพระพุทธบาทยโสธร จึงเรียกว่า รอยพระพุทธบาทยโสธร
ตามประวัติกล่าวว่าพระมหาอุตตมปัญญา และลัทธิวิหาริกได้นำมาจากกรุงศรีอยุธยา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยอิทธิพลวัฒนธรรมอีสาน (ล้านช้าง)
หรือล้านนา อายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๔ - ๒๕ ช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย
และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
รอยพระพุทธบาทจำลองวัดภูกลอย
ประดิษฐานอยู่ที่วัดภูกลอย หรือวัดเทวัญคีรี อำเภอไทยเจริญ อยู่บนภูเตี้ย ๆ ทางด้านทิศตะวันออกเป็นหน้าผาชัน ด้านทิศตะวันตกเป็นหินลาดต่ำลงไปจนจดลำธาร ทิศเหนือ - ใต้เป็นหินแตก รอยพระพุทธบาทเป็นรอยที่ติดอยู่บนโขดหิน ลักษณะของรอยเหมือนคนเหยียบลงไปบนดินเหนียว แล้วถอยเท้ายกขึ้นเหมือนรอยเท้าคนจริง ๆ แต่มีขนาดใหญ่กว่าเท้าคนธรรมดาทั่วไป ทางวัดได้ก่อสถูปเจดีย์ครอบรอยพระพุทธบาทไว้ นับว่าเป็นโบราณสถานที่สำคัญของอำเภอไทยเจริญ |
วัดทุ่งสว่างชัยภูมิ
อยู่ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฯ จากพงศาวดารเมืองยโสธร ฉบับของพระยามหาอำมาตยาธิบดี มีความว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๘ เจ้าอนุวงศ์ เมืองเวียงจันทน์ได้สู้รบกับทางกรุงเทพ ฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาราชสุภาวดีเป็นแม่ทัพ ยกกำลังไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองพานพร้าว และเมื่อพระพิชัยสงครามซึ่งยกกำลังล่วงหน้าไปก่อน เสียทีแก่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ พระยาราชสุภาวดีจึงให้ถอยกำลังมาตั้งอยู่ที่เมืองยโสธร แล้วทำพิธีปฐมกรรมตัดไม้ข่มนาม สถานที่ขุมนุมทำพิธีคือที่วัดทุ่งสว่างชัยภูมิแห่งนี้ ต่อมาอุปฮาดแพงรักษาการเจ้าเมืองยโสธร ได้รับพระบัญชาให้จัดกองทัพไปช่วยรบทางเมือง เสียมราฐ ประทายเพชร และพระตะบอง ก่อนนำทัพไปรบก็ได้ทำพิธีที่เนินตรงวัดทุ่งสว่างชัยภูมิ เช่นกัน เมื่อไปรบมีชัยชนะกลับมา เห็นว่าพื้นที่โนนทุ่งนี้เป็นชัยภูมิดีเลิศ จึงได้สร้างธาตุเจดีย์ แล้วยกขึ้นเป็นวัด ชื่อวัดชัยชนะสงคราม หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัดบูรพาทิศาราม แล้วอัญเชิญรอยพระพุทธบาท จากวัดใต้ศรีมงคลมาประดิษฐานไว้ภายในพระเจดีย์ดังกล่าว แต่ต่อมารอยพระพุทธบาทจำลองนี้ได้ย้ายไปไว้ที่วัดศรีธรรมาราม และองค์พระเจดีย์ได้มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ |
พระอุโบสถวัดใต้ศรีมงคล
วัดใต้เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของเมืองยโสธร มีพระอุโบสถที่มีรูปแบบทางศิลปะล้านนาผสมล้านช้าง กล่าวคือใต้หน้าบันลงมาระหว่างเสาสองต้น จะมีลวดลายไม้แกะสลักห้อยลามลงมาตามเสาทั้งสอง แล้วห้อยย้อยลงตรงกลางเหมือนรวงผึ้ง ส่วนเสาไปหาระเบียงก็ประดับลวดลายระหว่างเสาเช่นเดียวกัน เสาเป็นรูปเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง มีกลีบบัวสัตบุษย์หงายรองรับส่วนบน ภายในวัดนี้ได้พบธรรมาสน์ และโฮงเทียนศิลปะลาวรุ่นเก่า พระอุโบสถแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมดีเด่นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ที่ยังคงสภาพมาจนถึงปัจจุบัน |
หอไตรวัดศรีธาตุ
| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน | |