| หน้าแรก | ชาติไทย | ศาสนา | พระมหากษัตริย์| ย้อนกลับ |
| มูลบทบรรพกิจ | ข้อเตือนใจในแบบเรียนเร็ว | ข้อเตือนใจจากบทดอกสร้อย |
| คำปฏิญาณของลูกเสือไทย | ข้อเตือนใจจากที่อื่นๆ | วรรณคดีไทยร้อยกรอง | โคลงพระราชพงศาวดาร |

โคลงพระราชพงศาวดาร

            โคลงพระราชพงศาวดาร เดิมมีจำนวน ๒๗๖ บท มีภาพประกอบเรื่องพงศาวดาร ๙๒ แผ่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ช่างเขียนตามเรื่องในพระราชพงศาวดารทรงคัดเลือกเป็นตอน ๆรูปขนาดใหญ่มีจำนวนโคลงประกอบรูปละ ๖ บท รูปขนาดกลาง และขนาดเล็กมีโคลงประกอบ รูปละ ๔ บท ทรงพระราชนิพนธ์บ้าง โปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการซึ่งสันทัดบทกลอนแต่ถวายบ้าง ได้สร้างสำเร็จและได้โปรดให้นำไปประดับพระเมรุท้องสนามหลวง ให้ประชาชนชม เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ทั้งยังได้พิมพ์บทโคลงเป็นเล่ม พระราชทานเป็นของแจกในงานพระเมรุคราวนั้นด้วย ครั้นเสร็จงานพระเมรุแล้ว จึงโปรดให้แบ่งรูปภาพและเรื่องพระราชพงศาวดาร ไปประดับไว้ณ พระที่นั่งอัมพรวินิจฉัยบ้าง ส่งไปประดับพระที่นั่งวโรภาสพิมาน ณ พระราชวังบางปะอินบ้าง

แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดี ที่ ๑
สร้างกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓)


     แถลงปางพระเจ้าอู่            ทองปรา รภเฮย
จักประดิษฐนครา ใหม่ยั้ง
ชีพ่อหมู่พฤฒา จารย์จัด การแฮ
กลบบัตรสุมเพลิงตั้ง สวดพร้องพุทธมนต์
     ชนงานขุดภาคพื้น ภูมิมณ ฑลเฮย
สบพระสังข์เศวตกล กษิรแผ้ว
เป็นทักษิณวรรตดล แสดงศุภ อรรถเอย
เสร็จกิจพิธีแล้ว สืบสร้างการผอง
     หนองโสนแนะถิ่นด้าว  เดิมมี ชื่อนา
ขนานเปลี่ยนนามธานี เทพไท้
ทวาราวดีศรี อยุธยา เฮย
กรุงกษัตริย์สถิตได้ สี่ร้อยปีปลาย
     บรรยายพระยศไท้ ธเรศตรี ศวรเฮย
เฉลิมนิเวศน์ธานี ภิเษกซ้ำ
รามาธิบดี นามเพิ่ม พระแฮ
ปฐมกษัตริย์ขัตติยเลิศล้ำ ผ่านหล้าแหล่งสยาม
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๕ )

            สมเด็จพระเจ้าอู่ทองโปรดให้สร้างพระนครใหม่ขึ้น ณ ตำบลหนองโสน (ปัจจุบันเรียกว่าบึงพระราม) ครั้น ณ วัน ศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำเดือน ๕ ปีขาล โทศก จุลศักราช ๗๑๒ ชีพ่อพราหมณ์จึงให้ฤกษ์ตั้งพิธีกลบบัตรสุมเพลิง คนงานขุดได้สังข์ทักษิณาวรรตขอนหนึ่ง ใต้ต้นหมันในบริเวณพิธีนั้น ครั้นแล้วจึงสร้างพระที่นั่ง และสถาปนาพระนครนั้นขึ้นเป็นราชธานีขนานนามว่าพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอู่ทองเสด็จเข้ามาเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์
            พระเจ้าอู่ทองคือ เจ้าเมืองอู่ทอง เป็นบุตรเขยพระเจ้าอู่ทองคนเก่า เมืองอู่ทองอยู่ริมแม่น้ำจรเข้สามพัน ในระหว่างเมืองสุพรรณบุรีกับเมืองกาญจนบุรี เมืองอู่ทองอยู่ในแคว้นสุวรรณภูมิ เดิมเป็นเมืองพระยามหานครขึ้นอาณาจักรสุโขทัย และสมัยก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยานั้น ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีอาณาจักรใหญ่ตั้งอยู่ ตั้งเป็นอิสระอยู่สองอาณาจักรคือ อาณาจักรสุโขทัย ตั้งเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี และอาณาจักรลานนาไทย ตั้งเมืองใหม่เป็นราชธานี เมืองอู่ทองสมัยที่เป็นเมืองขึ้นอาณาจักรสุโขทัยนั้น ใครเป็นเจ้าครองเมืองก็เรียกว่า พระเจ้าอู่ทอง ต่อมากรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงในแผ่นดิน พระเจ้าฤไทยชัยเชษฐ์ พวกประเทศราชต่างคิดตั้งตัวเป็นอิสระ ฝ่ายพระเจ้าอู่ทองเห็นว่ามีกำลังเข้มแข็งพอก็คิดตั้งแข็งเมืองบ้าง ครั้นเมืองอู่ทองประสบเหตุ คือลำน้ำจรเข้สามพันตื้นเขิน เพราะสายน้ำเปลี่ยนทางเดิน ต้องกันดารน้ำเข้าทุกปี เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บจนถึงเป็นโรคระบาด จึงต้องย้ายนครลงมาตั้งอยู่ที่เมืองอโยธยา ที่ตำบลเวียงเหล็กก่อน (ตรงวัดพุทไธศวรรย์ปัจจุบัน) อยู่ที่นั่นได้สามปี เมื่อเห็นถึงเวลาจะประกาศเป็นอิสระภาพอย่างเปิดเผยได้แล้ว จึงสร้างราชธานี และราชวังขึ้นใหม่ที่ตำบลหนองโสน และทำพิธีราชาภิเษกเป็น สมเด็จพระรามาธิบดีประกาศอิสระภาพโดยสมบูรณ์ เมื่อปีขาล จุลศักราช ๗๑๒ (พ.ศ. ๑๘๙๓) และเพราะพระเจ้าอู่ทองมีหลายองค์ องค์ที่สร้างพระนครศรีอยุธยา และประกาศอิสระภาพนี้ จึงกันว่าพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี
            ชื่อราชธานีใหม่ที่ว่า ทวาราวดีศรีอยุธยานั้น คำว่าทวาราวดีเป็นชื่อเมืองของพระกฤษณะ ดังปรากฏในเรื่องอนิรุทธ์คำฉันท์ เนื่องจากราชธานีใหม่นี้ตั้งอยู่บนเกาะในแม่น้ำมีน้ำล้อมรอบ ลักษณะคล้ายเมืองทวาราวดีโบราณของพระกฤษณะ ชื่อหลังว่า อยุธยา คือชื่อเมืองอโยธยาที่มาพักอยู่ชั่วคราวนั้น และตรงกับชื่อเมืองของพระรามในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นมงคลนามที่แปลว่าไม่มีใครรบได้คำกลางศรีเป็นคำยกย่องซึ่งนิยมใช้นำหน้าชื่อ

แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์
พระสุริโยทัยขาดคอช้าง (พ.ศ. ๒๐๙๑)


     บุเรงนองนามราชเจ้า            จอมรา มัญเฮย
ยกพยุหแสนยา ยิ่งแกล้ว
มอญม่านประมวลมา สามสิบ หมื่นแฮ
ถึงอยุธเยศแล้ว  หยุดใกล้นครา
     พระมหาจักรพรรดิ์เผ้า  ภูวดล สยามเฮย
วางค่ายรายรี้พล เพียบหล้า
ดำริจักใคร่ยล แรงศึก
ยกนิกรทัพกล้า ออกตั้งกลางสมร
     บังอรอัคเรศผู้ พิสมัย ท่านนา
นามพระสุริโยทัย ออกอ้าง
ทรงเครื่องยุทธพิชัย เช่นอุป ราชแฮ
เถลิงคชาธารคว้าง ควบเข้าขบวนไคล
     พลไกรกองหน้าเร้า โรมรัน กันเฮย
ช้างพระเจ้าแปรประจัญ คชไท้
สารทรงซวดเซผัน หลังแล่น เตลิดแฮ
ตะเลงขับคชไล่ใกล้ หวิดท้ายคชาธาร
     นงคราญองค์เอกแก้ว  กษัตรี
มานมนัสกัตเวที ยิ่งล้ำ
เกรงพระราชสามี มลายพระ ชนม์เฮย
ขับคเชนทร์เข่นค้ำ สะอึกสู้ดัสกร
     ขุนมอญร่อนง้าวฟาด ฉาดฉะ
ขาดแล่งตราบอุระ หรุบดิ้น
โอรสรีบกันพระ ศพสู่นครแฮ
ศูนย์ชีพไป่ศูนย์สิ้น พจน์ผู้สร้างเสริญ
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๕ )

            พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบข่าวว่า กรุงศรีอยุธยาเกิดแย่งชิงราชสมบัติกัน ก็เข้าพระทัยว่าเกิดจลาจล ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะแผ่ราชอาณาจักร จึงเสด็จกรีธาทัพหลวงเข้ามาประเทศไทย หมายจะตีเอากรุงศรีอยุธยาให้ได้
            เมื่อสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ทรงทราบว่ากองทัพข้าศึกยกเข้ามาใกล้จะถึงกรุง จึงเสด็จยกกองทัพหลวงออกไป หวังจะดูกำลังข้าศึก ฝ่ายสมเด็จพระสุริโยทัยพระอัครมเหสีทรงเครื่องเป็นชายอย่างพระมหาอุปราช ทรงพระคชาธารตามเสด็จพร้อมด้วยพระราเมศวร และพระมหินทร ราชโอรสทั้งสองพระองค์กองทัพสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ยกออกไปปะทะกองทัพพระเจ้าแปร ซึ่งเป็นทัพหน้าของพระเจ้าหงสาวดี ไพร่พลทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบพุ่งกัน สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระเจ้าแปรต่างทรงไสช้างเข้าชนกัน ช้างทรงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์เสียที แล่นหนีช้างข้าศึกเอาไว้ไม่อยู่ พระเจ้าแปรก็ขับช้างไล่ตาม สมเด็จพระสุริโยทัยเกรงพระราชสามีจะเป็นอันตราย  จึงขับช้างออกรับช้างข้าศึกไว้พระเจ้าแปรได้ทีจึงจ้วงฟันสมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์ซบอยู่กับคอช้าง พระราเมศวรกับ พระมหิทรถลันจะเข้าแก้แต่ไม่ทันท่วงที จึงได้แต่กันเอาพระศพกลับเข้าพระนคร

แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์
ช้างชนะงาของไทยไม่ยอมอยู่กับพม่า (พ.ศ. ๒๐๙๑)


     ปางมอญมวลม่านกลุ้ม            รุมตี
กรุงทวาราวดี รบเร้า
ทัพไทยบ่ได้มี ชัย ณ สนามเฮย
จำล่าทัพกลับเข้า มั่นไว้ในนคร
     พลมอญอ่อนสิ้นสะ เบียงอา หารนา
ถอยจากศรีอยุธยา ยาตรเต้า
ทางเหนือเพื่อจักหา โภชน์ภักษ์
ราเมศวรมหินทรเจ้า จู่จ้วงโจมตี
     เสียทีศึกจับได้ ทั้งสอง องค์เอย
ปิ่นตะเลงปรองดอง เปลี่ยนช้าง
มลคลทวีปของ จอมจักร พรรดิ์พ่อ
อีกหนึ่งพลายศรีอ้าง ชื่อท้ายมงคล
     บัดดลสองช้างแปลก เสียงหมอ ควาญเอย
อาละวาดฤาหวั่นขอ เข่นสู้
เหลือมือตะเลงรอ ราส่ง คืนแฮ
ดูแต่ช้างยังรู้ รักด้าวแดนตน
(สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ)

            พระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้ทรงเห็นว่า จะตีเอากรุงศรีอยุธยาในครั้งนี้มิได้แน่แล้ว ทั้งเสบียงอาหารสำหรับกองทัพก็ร่อยหรอลงทุกที จึงให้ถอยทัพไปทางเหนือ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ตรัสให้พระราเมศวรกับพระมหินทร์คุมทัพตามตีข้าศึกที่ถอยไป พระเจ้าลูกเธอทั้งสองไม่รู้เท่าทันอุบายของบุเรงนองแม่ทัพพม่า ซึ่งได้ซุ่มทัพไว้ได้รบไล่ข้าศึกถลันเข้าไปในที่ซุ่มถูกข้าศึกล้อมจับเอาไปได้  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์จึงจำต้องหย่าทัพ และถวายช้างพลายศรีมงคล พลายมงคลทวีป แก่พระเจ้าหงสาวดี เพื่อแลกเอาพระรามเมศวรกับพระมหินทร์กลับคืนมา เมื่อกรมช้างนำช้างทั้งสองขึ้นไปถวายพระเจ้าหงสาวดี ณ เมืองชัยนาท พลายศรีมงคล พลายมงคลทวีป เห็นหมอควาญผิดเสียงก็อาละวาด ไล่แทงช้างแทงคนวุ่นวาย พระเจ้าหงสาวดีเห็นเหลือมือมอญพม่าที่จะเลี้ยงไว้ได้จึงรับสั่งให้กรมช้างส่งกลับคืนมายังกรุงศรีอยุธยา

แผ่นดินพระมหินทราธิราช ครั้งที่ ๒
พระมหาธรรมราชาอาสาเจรจาความเมือง (พ.ศ. ๒๑๑๒)


     ปัจามิตรร้อยหมื่นห้อม            ปราการ
แปดมาสมุ่งหักหาญ ห่อนได้
ในกรุงเกิดกันดาร เสบียงบอบ บางแฮ
แจ้งเหตุรามัญให้ สื่อถ้อยกลความ
     แม้นสยามยอมออกเฝ้า ขุนทัพ
จักเลิกพลคืนกลับ สู่ด้าว
ไทยเกรงตะเลงจับ เททอด ครัวแฮ
มอญทราบสั่งพลห้าว หักปล้นนครา
     พระมหาธรรมราชเจ้า ขันอา สาเฮย
จักสู่เมืองเจรจา จุ่งแผ้ว
ตะเลงราชอนุญาตมา โดยราช ยานแฮ
สู่ค่ายตรงเกาะแก้ว เกริ่นแจ้งใจความ
     ชาวสยามยลพักตร์ผู้ เผด็จชาติ ตนเฮย
ต่าง ๆ ต่างวางสินาด เกลื่อนกลุ้ม
ธรรมราชโดดจากราช ยานแล่น ถลาแฮ
อินทรเดชแบกอุ้ม ออกพ้นปืนประหาร
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๕ )

            พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ยกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ถึงแปดเดือนก็ยังหักเอามิได้ก็เริ่มมีความวิตกกลัวเกรงจะถึงฤดูฝน จึงคิดจะตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้เสียโดยเร็ว พระมหาธรรมราชารับอาสามีหนังสือลับไปถึงพระวิสุทธิ์กษัตรีพระชายาของพระองค์(ซึ่งพระมหาจักรพรรดิ์พระราชบิดาขึ้นไปรับเอาลงมาจากพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๒) เพื่อเกลี้ยกล่อมสมเด็จพระมหินทร์ว่า ถ้าส่งตัวพระยารามผู้บัญชาการรักษาพระนครออกไปให้พระเจ้าบุเรงนอง ก็จะยอมเป็นไมตรีด้วย ครั้นพระเจ้าบุเรงนองได้ตัวพระยารามสมความประสงค์ตามอุบายของพระมหาธรรมราชาแล้ว ก็หายอมรับเป็นไมตรีกับไทยไม่ กลับเรียกร้องให้ไทยยอมแพ้เป็นเชลยอย่างราบคาบ จึงจะเลิกทัพกลับไป ฝ่ายไทยเมื่อรู้แน่ว่าพระเจ้าบุเรงนองมุ่งหมายจะกวาดต้อนคนไทยไปเป็นเชลย และทรัพย์สมบัติจะถูกริบหมดสิ้น จึงบังเกิดความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตั้งหน้าต่อสู้ข้าศึกด้วยความเข้มแข็ง พม่ายกเข้าตีพระนครหลายครั้งถูกตีถอยกลับไปทุกครั้ง จนถึงแปดเดือนก็ยังเอาชนะไม่ได้ พระมหาธรรมราชาหวังจะหาความชอบ จึงคิดจะเกลี้ยกล่อมพระมหินทราธิราช และขุนนางทั้งปวงยอมแพ้โดยดี และพระมหาธรรมราชาก็ทรงพระเสลี่ยงมายืน อยู่ตรงหน้าค่ายบึงเกาะแก้วร้องบอกพระมหาเทพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รักษาค่ายด้านนั้นว่า จะเข้าไประงับการแผ่นดิน พระมหาเทพมิไว้ใจยิงปืนกระสุนกราดออกไป พระมหาธรรมราชาต้องลงจากพระเสลี่ยง และขุนอินทรเดชะก็เข้าแบกพระองค์วิ่งกลับไปเฝ้าพระเจ้าหงสาวดี

แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
สมเด็จพระนเรศวรตามจับพระยาจีนจันตุ (พ.ศ. ๒๑๑๙)


     พระยาจันจันตุข้า            ขอบขุน
มาสู่กรุงมุ่งบุญ ปกเผ้า
ปิ่นภพกอบการุญ รับปลูก เลี้ยงแฮ
ยกโทษโปรดเกศเกล้า ห่อนพ้องจองภัย
     กลับใจจักสู่เจ้า ปฐพี ตน แฮ
สืบทราบการธานี ใหญ่น้อย
หวังสบายถ่ายทอดมี มาแต่หลังนา
สู่สะเภาค่ำคล้อย ลอบโล้ครรไล
     พระดนัยนเรศวร์แจ้ง  เหตุรหัส
ทรงพระชลยานรัด รีบร้น
พร้อมเรือนิกรถนัด ขนาบไล่สะเภาแฮ
ทรงพระแสงปืนต้น ลั่นต้องจีนตาย
     ตัวนายกัมพุชจ้อง วางปืน นานา
ต้องพระแสงทรงราง ลั่นร้าว
รบพลางรีบหนีพลาง เรือตก ลึกเฮย
จบเกิดกางใบด้าว ล่องลี้หายลำ
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๕ )

            ในปี พ.ศ. ๒๑๑๙ พระยาละแวกให้พระยาอุเทศราช และพระยาจีนจันตุ ขุนนางจีนเมืองเขมร ยกทัพเรือมาตีเมืองเพชรบุรี ครั้นชิงเอาเมืองมิได้แล้ว พระยาจีนจันตุกลัวว่าพระยาละแวกจะลงโทษ จึงอพยพครอบครัวหนีเข้ามายังพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชก็ทรงชุบเลี้ยงไว้ครั้นอยู่มาเมื่อพระยาจีนจันตุได้ทราบข่าวว่าพระยาละแวกไม่เอาโทษ และตนเองสืบทราบเหตุการณ์ในพระนครแล้ว ก็กลับเอาใจออกห่าง ลอบแต่งสำเภาพาครอบครัวหนีล่องลงไป สมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จยกกองเรือตามไปทันที่ปากน้ำ เข้ารบกันเป็นสามารถ สมเด็จพระนเรศวรทรงเรือพระที่นั่งเข้าไปชิดสำเภา และทรงปืนนกสับมาต้องรางปืนที่สมเด็จพระนเรศวรทรงอยู่นั้นแตก พอเรือสำเภาได้ลมก็แล่นออกทะเลหนีพ้นปากน้ำรอดไปได้

แผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
สมเด็จพระนเรศวรปีนค่ายพม่า (พ.ศ. ๒๑๒๙)


     บิ่นมอญมาตั้งค่าย            บางปะหัน
พระนเรศวร์นำพลขันธ์ ทัพม้า
สามกองนับรวมกัน ร้อยยี่สิบแฮ
เศษอีกหกหาญกล้า ตามคล้องควายทวน
     สวนฟันมอญแตกเข้า  ค่ายแฝง ตนนา
พระเสด็จโดยกำแหง เหิ่มกล้า
ปีนค่ายข้าศึกแทง ถูกท่าน ตกแฮ
กลับป่ายใหม่ใช่ช้า เช่นนั้นหลายคราว
     หนาวจิตอมิตรร้อง เอออะไร นเรศวร์ฤา
องอาจปลอมไพร่ใน เศิกสู้
พิมเสนแลกเกลือไกล กับนัก นาพ่อ
ชะรอยมิตรห่อนรู้ เร่งให้จับเป็น
     ควรเห็นพิริยห้าว หนณรงค์ท่านเฮย
สยามหย่อนอิสริย์ลง ราบแล้ว
เอกราชกลับคืนคง โดยเดช พระแล
ซ้ำขาดอริแผ้ว นับร้อยปีปลาย
(สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยา ภานุพันธุวงศ์วรเดช)

            ในปี พ.ศ. ๒๑๒๙ พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง เสด็จยกทัพเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยา แล้วตั้งค่ายหลวงอยู่ตำบลบางปะหัน คืนวันหนึ่ง สมเด็จพระนเรศวรนำทหารทวนสามกองเข้าปล้นค่ายทัพหน้าข้าศึก ไล่แทงฟันไปถึงค่ายหลวงพระเจ้าหงสาวดี สมเด็จพระนเรศวรทรงคาบพระแสงดาบ นำทหารขึ้นปีนค่ายถูกข้าศึกเอาอาวุธแทงพลัดตกลงมาหลายครั้งก็ขึ้นไม่ได้ครั้นทรงเห็นข้าศึกกรูกันมามากนักจึงเสด็จกลับเข้าพระนคร เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทรงทราบจึงตรัสว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงออกทำการรบอย่างพลทหารดังนี้ เหมือนหนึ่งเอาพิมเสนมาแลกเกลือ ทำศึกอาจหาญนัก แล้วมีรับสั่งกำชับทหารมอญพม่าว่า ถ้าสมเด็จพระนเรศวรออกรบอีกให้คิดอ่านจับเป็นให้จงได้แต่ก็ไม่สมประสงค์ พระเจ้าหงสาวดีตั้งล้อมกรุงอยู่นานก็ตีไม่ได้ และเมื่อเห็นไพร่พลป่วยเจ็บล้มตายร่อยหรอลงทุกทีก็ท้อพระทัย จึงโปรดให้เลิกทัพกลับไป
            พระแสงดาบซึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงวันนั้นปรากฏนามว่า พระแสงดาบคาบค่าย มาจนบัดนี้

แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ
พันท้ายนรสิงห์ถวายชีวิต (พ.ศ. ๒๒๔๙)


     สรรเพชรที่แปดเจ้า            อยุธยา
เสด็จประพาสชมปลา ปากน้ำ
ล่องเรือเอกชัยมา ถึงโคก ขามพ่อ
คลองคด โขน เรือค้ำ ขัดไม้หักสลาย
     พันท้ายตกประหม่าสิ้น  สติคิด
โดดจากเรือทูลอุทิศ โทษร้อง
พันท้ายนรสิงห์ผิด บทฆ่า เสียเทอญ
หัวกับโขนเรือต้อง คู่เส้นทำศาล
     ภูบาลบำเหน็จให้ โทษถนอม ใจนอ
พันไม่ย่อมอยู่ยอม มอดม้วย
พระเปลี่ยนโทษปลอม ฟันรูป แทนพ่อ
พันกราบทูลทัดด้วย ท่านทิ้งประเพณี
     ภูมีปลอบกลับตั้ง ขอบรร สัยพ่อ
จำสั่งเพชรฆาตฟัน ฟาดเกล้า
โขนเรือกับหัวฟัน เซ่นที่ศาลแล
ศาลสืบกฤติคุณเค้า คติไว้ในสยาม
(สมเด็จกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์)

            ในปี พ.ศ. ๒๒๔๙ สมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จประทับเรือพระที่นั่งเอกชัยไปประพาสทรงเบ็ด ณ ปากน้ำเมืองสมุทรสาคร ครั้นเรือพระที่นั่งไปถึงคลองโคกขามซึ่งคดเคี้ยว พันท้ายนรสิงห์ เจ้าพนักงานถือท้ายเรือพระที่นั่งคิดแก้ไขมิทัน โขนเรือพระที่นั่งกระทบเข้ากับกิ่งไม้ใหญ่ก็หักตกลงน้ำ พันท้ายนรสิงห์เห็นดังนั้นก็ตกใจโดดจากเรือขึ้นบนฝั่ง ร้องกราบทูลให้ตัดศีรษะของตนตามกฎหมาย และขอพระกรุณาโปรดให้ทำศาลเพียงตาขึ้น ณ ที่นั้น เอาศีรษะกับโขนเรือพระที่นั่งที่หักลงบวงสรวงไว้ด้วยกัน สมเด็จพระเจ้าเสือทรงพระกรุณาอภัยโทษ พันท้ายนรสิงห์ไม่ยอมรับพระกรุณาเป็นอย่างอื่น กลับว่าให้ตัดศีรษะตนเอง จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้ฝีพายปั้นดินเป็นรูปแทนตัวพันท้ายนรสิงห์ขึ้น และให้ตัดรูปหัวดินนั้นเสีย แล้วรับสั่งเรียกพันท้ายนรสิงห์ให้กลับลงเรือ พันท้ายนรสิงห์ก็คงยืนกรานกราบทูลให้ตัดศีรษะตน สมเด็จพระเจ้าเสือตรัสวิงวอนเป็นหลายครั้ง พันท้ายนรสิงห์มิยอมอยู่ จึงทรงทำตามกฎหมาย ดำรัสสั่งให้ประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์แล้วให้ทำศาลขึ้นสูงเพียงตา และให้เอาศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับโขนเรือพระที่นั่งที่หักขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกัน

แผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์
พระยาวชิรปราการกับทหาร ๕ ม้า รบพม่า ๕๐ ม้า (พ.ศ. ๒๓๐๙)


     ปางสมัยปวงม่านปล้น            อยุธยา
เห็นพินาศนัครา ห่อนแคล้ว
พระยาวชิรปรา การกาจ หาญแฮ
คุมพวกพื้นกลั่นแกล้ว คิดพร้อมใจกัน
     ฟันฝ่าข้าศึกห้อม แตกฉาน
รบรับรายทางราน รอดได้
พักแรม ณ บ้านพราน นกนอก กรุงนา
ปล่อยพรรคพลหาญให้ ลาดค้นธัญญา
     มาปะปรปักษ์ต้อน ตามติด
ตนหนึ่งกับทหารสนิท นับห้า
ขับแสะเสริดประชิด ชะล่าไล่ทะลวงแฮ
หมู่ม่านสามสิบม้า หมดห้าวเฮหนี
     กรุงศรีอยุธยายศแพ้ ไพรี
มาก บ มีสามัคคี คิดสู้
เพียงห้าแต่หากมี ใจร่วม หาญแฮ
อาจชนะแก้กู้ ก่อตั้งกรุงธน
(พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๕ )

            เมื่อพม่ายกกองทัพตีหัวเมืองรายทางเรื่อยเข้ามาจนได้ ล้อมกรุงศรีอยุธยาแล้วนั้น พระยาวชิรปราการเห็นว่าจะอยู่รักษากรุงไว้ไม่รอด จึงรวบรวมไพร่พลยกตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก แล้วไปตั้งพักแรมอยู่ที่บ้านพรานนก ให้พวกทหารออกหาเสบียงอาหาร พบกองทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าราวสามสิบม้า พลเดินเท้าประมาณสองพันยกตามมา พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารเดินเท้าขยายแถวปีกกา เข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการ และทหารอีกสี่คนก็ขึ้นม้าตรงเข้าไล่ฟันพม่าที่ขี่ม้ามาข้างหน้า พม่าไม่ทันรู้ตัวก็ถอยหนีกลับไปปะทะพวกเดินเท้าพากันแตกพ่ายไป
            (พระยาวชิรปราการนี้ คือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อพม่ามาล้อมกรุงศรีอยุธยายังเป็นพระยาตาก และได้ถูกเกณฑ์ลงมาช่วยรักษาพระนคร ทำการรบพุ่งเข้มแข็งมีความชอบได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร ซึ่งโดยตำแหน่งมีฐานันดรเป็นพระยาวชิรปราการ)
            (บ้านพรานนก เป็นหมู่บ้านในจังหวัดปราจีนบุรี อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบ้านโพสาวหาร ประมาณสี่กิโลเมตร บัดนี้เรียกว่าบ้านพานนกบ้าง สะพานนกบ้าง)

แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี
เสด็จตีเมืองพุทไธมาศ (พ.ศ. ๒๓๑๔)


     พระมหานายกเจ้า            กรุงธน บุเรศเฮย
เทียบทัพบกเรือพล ไพร่พร้อม
กำหนดเที่ยงคืนดล ราชฤกษ์ณรงค์แฮ
รุดเร่งนิกรล้อม ตรัสให้อุบายรอน
     กรมอาจารย์ป่ายปล้น  ปีนกำ แพงเฮย
พลไพร่จีนอนัม ต่อต้าน
ซัดสาดสินาดชำ นาญถนัด นักนา
หนุนบ่ได้นายด้าน ต่างตั้งตอบยิง
     บันดาลพระเดชให้ ไทยคิด
ว่าทัพหลวงหนุนประชิด ช่วยแล้ว
ต่างฮึกต่างเหิมจิต โจมจู่ผจญนา
หนุนเนื่องกันกลั่นแกล้ว เกริกก้องกลางรณ
     พลพุทไธมาศสู้ เศิกสยาม
ไทยบ่เบื่อสงคราม รุกเร้า
บันไดพะองตาม กันพาด เวียงแฮ
พอรุ่งเร่งปีนเข้า บุรได้ญวนหนี
(พระยาราชสัมภารากร เลื่อน)

            สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จยกทัพจากกรุงธนบุรี ไปยังเมืองพุทไธมาศ (เมืองบันทายมาศ) เพื่อเกลี่ยกล่อมพระยาราชาเศรษฐี พระยาราชาเศรษฐีไม่ยอมสวามิภักดิ์กลับแต่งเมืองป้องกันอย่างแข็งแรง สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงดำรัสสั่งให้ยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมือง และดำรัสสั่งกรมอาจารย์ให้จัดสรรคนที่มีวิชาดีแกล้วกล้า เข้าปล้นเอาเมืองในเวลากลางคืน แล้วพระราชทานฤกษ์และอุบายให้ ครั้นถึงเวลา พวกกรมอาจารย์นำไพร่พลขึ้นปีนกำแพงจะปล้นเมือง พระยาราชาเศรษฐีเกณฑ์ทหารรักษาเมืองไว้เป็นสามารถ พวกจีนญวนชาวเมือง ยิงปืนสู้รบอยู่อย่างเข้มแข็ง ไพร่พลกองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินก็อิดโรย บรรดานายทัพนายกอง และไพร่พลทั้งปวงที่ตั้งค่ายล้อมอยู่นั้นจะบุกรุกเข้าไปช่วยก็ไม่ได้แต่หากด้วยเดชะพระบารมี ไพร่พลทั้งปวงสำคัญว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกพลหนุนเข้าไป ก็มีน้ำใจองอาจกล้าหาญมากขึ้น ตีหนุนเนื่องเข้าไปทั้งทัพบกทัพเรือ พวกญวนจีนซึ่งรักษาหน้าที่ต้านทานมิได้ก็แตกพ่ายหนีไป พอรุ่งเช้าก็เข้าเมืองได้พร้อมกัน แต่พระยาราชาเศรษฐี หนีไปเมืองพนมเปญได้

แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ยิงปืนลูกไม้พังค่ายพม่า (พ.ศ. ๒๓๒๘)


     พระมหาอุปราชอ้าง            ออกนาม
สุรสีห์คนขาม ทั่วหน้า
ยกพยุหสงคราม ไปต่อ ยุทธ์นา
เพื่อพม่ายกพลกล้า ล่วงเข้ากาญจนบุรี
     โยธีสองฝ่ายเฝ้า ราญรอน
พม่าสาดอัคนีศร ไปยั้ง
กรมพระราชวังบวร ให้ลาก
ปืนลูกไม้มาตั้ง สั่งให้ทหารมา
     จังกาปืนลูกไม้ เล็งเหมาะ
ดินกระสุนยัดเผลาะ เสือกแส้
เหล็กจับชนวน เจาะ ดินกรอก ชนวนเฮย
มือจับชุดแกว่งแต้ จุดเปรี้ยงเสียงดัง
     ค่ายพังถูกพม่าล้ม ตายกลาด
พวกพม่าฤาอาจ ออกสู้
ซ้ำพอสบเสบียงขาด การศึก ถอยนา
สุดฤทธิ์สุดแรงรู้ เข็ดคร้ามขามไทย
(กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) 

            ในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘ พระเจ้าปะดุง เจ้ากรุงอังวะเสด็จกรีฑาทัพใหญ่ยกเข้ามาหลายทาง หมายจะตีประเทศไทยให้จงได้ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลมหาราช ทรงทราบ ก็โปรดให้จัดกองทัพเป็นสี่ทัพแยกย้ายกันไปรบข้าศึก ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทยกไปตั้งรับทางทุ่งลาดหญ้า แขวงเมืองกาญจนบุรี คอยต่อสู้กองทัพพระเจ้าปะดุงที่จะยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์พอพม่าตั้งค่ายลงที่เชิงเขาบรรทัด กรมพระราชวังบวรก็ให้ตีค่าย พม่าตั้งสู้รบแข็งแรงติดพันอยู่ และปลูกหอรบ เอาปืนใหญ่ขึ้นยิงค่ายไทย กรมพระราชวังบวรจึงโปรดให้เอาปืนใหญ่ และปืนยิงด้วยลูกไม้ที่เคยใช้ยิงพม่า ได้ผลดีเมื่อคราวอะแซหวุ่นกี้ตีพิษณุโลกนั้น มาตั้งราย  ยิงค่ายหอรบพม่าหักพังลง ผู้คนล้มตายจนพม่าไม่กล้าออกตีค่ายไทย กรมพระราชวังบวร ฯ แต่งทหารออกตีปล้นเสบียง พวกพม่าขาดแคลนอาหารอดอยาก อิดโรย ไทยก็ตีได้ค่ายพม่าทุกด่าน ฆ่าฟันพม่าล้มตายเป็นอันมาก พม่าก็เลิกทัพกลับไป

แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ท้าวเทพสตรีรักษาเมืองถลาง (พ.ศ. ๒๓๒๘)


     ยี่หวุ่นแม่ทัพข้าง            พุกาม
คุมทัพเรือรอนสยาม ฝ่ายใต้
ตะกั่วทุ่งก็แตกตาม ตะกั่วป่า เล่านา
เข้าประชิดติดใกล้ รอบล้อมเมืองถลาง
     บุรินทร์สิ้นชีพแล้ว  ไป่ทัน แทนนอ
ยังขนิษฐ์หนึ่งอีกภรร เยศผู้
ไป่คิดแก่ชีวัน ตรายเยี่ยง หญิงแฮ
คุมไพร่ชายหญิงสู้ เกี่ยงแก้กันนคร
     รักษาเมืองอยู่ได้ เดือนปลาย
สุดคิดพม่าหมาย รบเร้า
ขัดสนเสบียงวาย จำเลิก ทัพแฮ
กลางรอดจากมือข้า ศึกด้วยสองหญิง
     หลายบุรีบุเรศทั้ง กรมการ มีนอ
บ่ อาจจะรับราญ ศึกได้
กลางมีแต่หญิงหาญ หากรัก เมืองนา
สู้ศึกกันเมืองไว้ ชอบชี้ควรชม

            ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ พระเจ้าปะดุงเสด็จกรีฑาทัพใหญ่ยกเข้ามาหลายทาง ทางใต้ให้ยี่หวุ่นเป็นนายทัพ ยกกองเรือมาตีได้เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง แล้วก็เลยไปถึงเมืองถลาง ยกรี่พลขึ้นตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ เวลานั้น พระยาถลางถึงแก่กรรมเสียก่อนแล้ว ตำแหน่งเจ้าเมืองว่างอยู่ คุณหญิงจันทร์ภรรยาเจ้าเมืองถลางที่ถึงแก่กรรม และนางมุกด์น้องสาว จึงคิดอ่านกับกรรมการทั้งปวง เกณฑ์ไพร่พลป้องกันรักษาเมืองเป็นสามารถ หญิงทั้งสองนั้นองอาจกล้าหาญมิได้ย่อท้อต่อข้าศึก กรรมการและเจ้าเมืองถลางทั้งชายและหญิง ก็มีใจรบพุ่งต่อสู้ข้าศึกเป็นสามารถ พม่าล้อมเมืองอยู่เดือนเศษก็ตีเอาเมืองมิได้ หมดเสบียงอาหารก็ต้องเลิกทัพกลับไป
            (ภายหลังวีรสตรีทั้งสองนี้ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์คือ คุณหญิงจันทร์เป็นท้าวเทพสตรี มุกด์น้องสาวเป็นท้าวศรีสุนทร)

| มูลบทบรรพกิจ | ข้อเตือนใจในแบบเรียนเร็ว | ข้อเตือนใจจากบทดอกสร้อย |
| คำปฏิญาณของลูกเสือไทย | ข้อเตือนใจจากที่อื่นๆ | วรรณคดีไทยร้อยกรอง | โคลงพระราชพงศาวดาร |
| หน้าแรก | ชาติไทย | ศาสนา | พระมหากษัตริย์ | ย้อนกลับ | บน |