| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป |
| พัฒนาทางประวัติศาสตร์ | มรดกทางธรรมชาติ | มรดกทางวัฒนธรรม | มรดกทางพระพุทธศาสนา |

มรดกทางพระพุทธศาสนา

ศาสนาสถาน

            วัดพลับ  ตั้งอยู่ในตำบลบางจะกะ อำเภอเมือง ฯ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมชื่อวัดสุวรรณติมพรุธาราม แปลว่าวัดที่มีผลมะพลับทอง เนื่องจากมีผลมะพลับใหญ่โต เมื่อเวลาสุกมีสีเหมือนสีทอง ต่อมาประชาชนนิยมเรียกกันว่า วัดพลับ
            ภายในวัดมีพระปรางค์ ซึ่งมีเจดีล้อมรอบ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์ได้เสด็จมาประทับพักแรมอยู่ที่วัดนี้ ก่อนจะยกทัพเข้าตีเมืองจันทบูร และได้ทรงพระราชทานพระยอดธงแก่กองทหาร พระยอดธงที่เหลือได้นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ ต่อมาเจดีย์หักพังลงมา จึงได้นำพระยอดธงส่วนหนึ่ง ไปบรรจุไว้ในพระปรางค์องค์นี้ ในวงการพระเครื่องเรียกพระยอดธงนี้ว่า พระยอดธงกู้ชาติ มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่ต้องการของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
            นอกจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะทรงพระราชทานพระยอดธงให้แก่หมู่ทหารแล้ว บรรดาทหารทั้งหลายยังได้รับการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ซึ่งในสมัยต่อมาน้ำพระพุทธมนต์ที่ประกอบพิธีในอุโบสถวัดพลับถือว่าเป็นน้ำพระพุทธมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ จะต้องประกอบด้วยน้ำพระพุทธมนต์จากวัดพลับนี้ด้วย โดยนำน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จากถ้ำพระนารายณ์ ตำบลคลองนารายณ์ อำเภอเมือง ฯ และน้ำจากสระแก้วที่วัดสระแก้ว ตำบลพลอยแหวน อำเภอท่าใหม่ มารวมกันทำพิธีปลุกเสกน้ำพระพุทธมนต์ เป็นเวลาสามวันสามคืนจนเสร็จพิธี
            ตามทะเบียนโบราณสถานของกรมศิลปากร โบราณสถานวัดพลับที่ขึ้นทะเบียนไว้ประกอบด้วย

                วิหารไม้   เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา ตัววิหารตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวัด เป็นอาคารไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส หลังคาทรงจตุรมุข ประดับด้วยเจดีย์ขนาดเล็ก เครื่องลำยองหรือปั้นลม (แผ่นไม้ปิดหัวแปโครงหลังคา) เป็นไม้แกะสลักสวยงาม ช่องลมทั้งสี่ด้านฉลุเป็นลวดลาย ฝีมือช่างพื้นบ้าน
                หอไตร  เป็นหอไตรขนาดกลาง สร้างอยู่ในสระน้ำ เป็นอาคารทรงไทยหลังคาสองชั้น ทรงจั่ว มีระเบียงรอบหอ โครงสร้างเป็นไม้ตกแต่งด้วยเครื่องลำยองไม้ ยังพอเห็นการตกแต่งเสาและบริเวณด้านหน้าที่เคยเป็นลวดลายลงรักปิดทองแบบลายรดน้ำ

                พระปรางค์  สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๑ องค์พระปรางค์สูงประมาณ ๒๐ เมตร มีซุ้มประตูสี่ทิศ เหนือประตูเป็นรูปราหูอมจันทร์ องค์ปรางค์ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณสองชั้น มีบันไดทางขึ้นสี่ทาง ส่วนยอดปรางค์มีการซ้อนขั้น มีชั้นเชิงบาตรรองรับตัวปรางค์ขนาดเล็ก มีรูปปั้นหัวช้างประดับทั้งสี่ทิศ ลักษณะส่วนบนซึ่งเป็นยอดปรางค์และตรีศูล เป็นลักษณะที่ไม่ได้พบมากนักในภาคตะวันออก
                โบสถ์  ตัวโบสถ์มีการบูรณะปฏิสังขรณ์แล้วหลายครั้ง ปัจจุบันมีลักษณะเหมือนโบสถ์ทั่วไป หน้าบันเป็นลวดลายปูนปั้นรูปนารายณ์ทรงครุฑ เครื่องตกแต่งหลังคาเป็นปูนปั้น
                เจดีย์กลางน้ำ  เป็นเจดีย์ทรงกลมก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ ๗ เมตร ไม่ประดับกระเบื้อง ยกฐานสูง ตัวองค์ระฆังขนาดเล็ก มีส่วนประกอบแบบองค์ระฆังทรงกลมทั่วไป ลักษณะศิลปะแบบอยุธยาตอนกลางได้รับการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑

           วัดเขาพลอยแหวน  ตั้งอยู่ที่เชิงเขาพลอยแหวน ตำบลพลอยแหวน อำเภอท่าใหม่ สร้างโดยพระยาจันทบุรีชื่อสองเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพื้นที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ภายในวัดมีอุโบสถ ที่สร้างขึ้นใหม่

                เจดีย์และมณฑป  ทรงกลมแบบลังกาภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เจดีย์สูงประมาณ ๑๓ เมตร ฝีมือช่างพื้นเมือง สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๙ โดยพระยาไชยบดีณรงฤาชัย
                ใกล้เคียงกันมีมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง ได้มีการบูรณะ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕ ส่วนมณฑปพระพุทธบาท ยังสร้างไม่สมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน ในเดือนห้า จะมีประชาชนไปนมัสการแและชมทิวทัศน์โดยรอบที่สามารถมองเห็นทั้งภูเขา แม่น้ำจันทุบรี และทะเล

            วัดทองทั่ว  อยู่ในตำบลคลองนารายณ์ อำเภอเมือง ฯ ห่างจากตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕ กิโลเมตร มีเรื่องราวก่อนสร้างวัดเล่าสืบต่อกันมาว่า มีวัดอยู่วัดหนึ่งอยู่ห่างจากวัดทองทั่วไปทางทิศใต้ประมาณ ๔๐๐ เมตร ชื่อวัดเพนียด ต่อมากลายเป็นวัดร้าง และได้มาสร้างวัดใหม่ชื่อวัดทองทั่ว
            วัดทองทั่ว เป็นวัดเก่าแก่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เมื่อพิจารณาจากหลักฐานแวดล้อม วัดทองทั่วอาจสร้างในสมัยที่เมืองจันทบุรียังตั้งอยู่ในแถบนี้ โดยเจ้าเมืององค์ใดองค์หนึ่งและได้มีการสร้างต่อ ๆ กันมา

            อุโบสถหลังเก่าน่าจะสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สังเกตุได้จากลายปูนปั้นประดับเป็นซุ้มโค้งเหนือขอบประตูหน้าต่าง ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในสมัยนั้น โบสถ์หลังนี้ได้สร้างทับไปบนศานสถานแบบขอม ทางทิศตะวันออกหน้าโบสถ์มีสิงห์นั่ง แกะสลักด้วยหินทรายสีแดง สูง ๙๐ เซนติเมตร หน้าประตูมีชิ้นส่วนธรณีประตูทำด้วยหินทรายสีขาว
            โบราณสถานและโบราณวัตถุของวัดทองทั่วได้แก่
                ๑. ใบเสมา เป็นรูปเสมาคู่
                ๒. ซากอิฐหัก สันนิษฐานว่า อาจเป็นซากเจดีย์เก่าหรือซากอาคารเก่า
                ๓. เจดีย์เก่าสมัยอยุธยาตอนปลาย
            ในโบสถ์หลังเก่าปัจจุบันเป็นที่เก็บทับหลังหินทรายสีขาว แกะสลักเป็นศิลปะแบบกาลาบริวัตร ต่อลมโบรไพรกุก (พ.ศ.๑๑๕๐) อีกชิ้นหนึ่งคือ ทับหลังหินทรายสีขาว แกะสลักเป็นรูปลายพรรณพฤกษาและพวงมาลัย ลักษณะศิลปะแบบไพรกแมง (พ.ศ.๑๑๘๐ - ๑๒๕๐) และยังมีเสาประดับกรอบประตูเทวสวถาน ลักษณะศิลปะนครวัด มีโกลนพระคเณศแกะไม่เสร็จ จึงยังกำหนดรูปแบบศิลปะไม่ได้ แต่ร่องรอยด้านหลังที่เป็นรอยเศียรนาคคือ การดัดแปลงพระพุทธรูปปางนาคปรกให้เป็นเทวรูป แสดงให้เห็นถึงลักษณะศิลปะทวารวดีที่ปะปนกับขอม ลักษณะแบบนี้พบในเมืองโบราณหลายแห่งทางภาคตะวันออก เช่นเมืองพระรถ เมืองศรีมโหสถ เมืองดงละคร และโคกกระโดน

            วัดไผ่ล้อม  เป็นพระอารามหลวงตั้งอยู่ในตำบลจันทนิมิตร อำเภอเมือง ฯ อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำจันทบุรี มีพื้นที่ ๒๘ ไร่ ๑ งาน ตั้งวัดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๐ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๕  ได้รับคัดเลือกให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ และ พ.ศ.๒๕๑๔ และได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๙
            จากการสำรวจพระอุโบสถหลังเก่าเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบทรงสถาปัตยกรรมเป็นลักษณะอาคาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว อุโบสถมีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน มีช่องทางเข้าทั้งสี่ด้าน ชนวนด้านหลังมีเสารองรับห้าต้น ไม่มีบัวหัวเสา ฐานอาคารเป็นเส้นตรง มีเจดีย์มุมอยู่ในกำแพงแก้ว เป็นเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสองขนาดเล็ก
            ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนภาพเต็มผนังตลอดทั้งสี่ด้าน บริเวณกรอบหน้าต่างด้านล่าง และบริเวณช่องระหว่างหน้าต่างชำรุดลบเลือนไปมาก เขียนภาพต้นไม้ประเภทบอนไซและดอกไม้เมืองจีน เหนือช่องหน้าต่างทั้งสองด้านเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องทศชาติ โดยแบ่งออกเป็นช่อง ๆ ด้านละห้าช่อง ด้านหน้าพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติโดยเขียนต่อกันไปบนผนัง ไม่มีฉากหรือเส้นแบ่งกั้นเป็นตอน ๆ ด้านหลังพระประธานเขียนเป็นภาพเทพอำนวยพร ลักษณะการเขียนน่าจะเป็นจิตรกรรมหลังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ เนื่องจากมีชาวต่างชาติปรากฎอยู่เป็นจำนวนมากในภาพวาด
            ด้านหลังโบสถ์ทางด้านทิศตะวันตกมีเจดีย์ทรงระฆัง มีกำแพงแก้วล้อมรอบทั้งสี่ด้าน มีทางเข้าทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ เจดีย์ตั้งอยู่บนฐานสูง ลักษณะเจดีย์เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ สูงประมาณ ๑๐ เมตร

            พระอุโบสถ  เป็นอาคารเลียนแบบศิลปะตะวันตก อาคารเป็นตัวตึกห้องเดียว หลังคาแบบเรือนมลิลา แต่ได้ดัดแปลงให้เข้ากับอาคารภายในวัด โดยเติมหลังคาจั่วแหลมขึ้นไป ผนังอาคารประดับด้วยเสาติดผนัง โดยใช้เสาเซาะช่องยื่นออกมาจากผนังเพียง หนึ่งในสี่ มีเสารองรับหลังคาตลอดทั้งสี่ด้าน ภายในประดิษฐานพระสาวกสำริด หน้าตักกว้าง ๖๐ เซนติเมตร
                พระพุทธไสยยาสน์  เป็นปูชนียวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก เพื่อเป็นพุทธบูชา เนื่องจากในภาคตะวันออกยังไม่มีพระพุทธไสยาสน์ ให้ศาสนิกชนในภาคนี้กราบไหว้ได้เริ่มก่อสร้างวิหารพร้อมองค์พระพุทธไสยาสน์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐ องค์พระพุทธไสยาสน์ยาว ๙ วา ๙ นิ้ว หันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก มีพุทธลักษณะเป็นประติมากรรมผสมค่อนไปทางศิลปะสุโขทัย สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ฉาบแต่งผิวแล้วลงรักปิดทอง มีแท่นฐานเป็นบัวคว่ำ บัวหงาย ยาวกว่าองค์พระเล็กน้อย
                พระวิหารครอบองค์พระเป็นอาคารสองชั้นทรงไทยประยุกต์ ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล้ก กว่าง ๓๒.๔๙ เมตร ยาว ๕๔.๑๙ เมตร บริเวณโดยรอบวิหารมีรั้วรอบแทนกำแพงแก้ว มีประตูเข้าออกห้าประตู พื้นวิหารปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนทั้งหลัง หลังคาเทคอนกรีตมุงด้วยกระเบื้องกาบกล้วย

| ย้อนกลับ | หน้าต่อไป | บน |